Search This Blog

Monday, November 17, 2025

จุดเทียนถวาย "พระพันปีหลวง" กับพี่น้องชาวไทย ณ กรุงเบอร์ลิน ประเทศเยอรมนี

ท่ามกลางอากาศหนาวเย็นและโปรยปรายด้วยฝนพอชุ่มฉ่ำ พี่น้องชาวไทยจากทุกสารทิศ รวมตัวกัน ณ หน้าประตูบรันเดนบวร์ก แลนด์มาร์คอันทรงพลังของกรุงเบอร์ลิน เพื่อร่วมจุดเทียนถวายความสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณของสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง
​ทุกคนแต่งชุดไว้ทุกข์ตามความเหมาะสม สุภาพสตรีหลายท่านแต่งชุดผ้าไหมพระราชนิยมสีดำ เพื่อแสดงออกถึงพระราชกรณียกิจด้านผ้าไทยของพระองค์

​มองดูสองมือของทุกท่าน มือหนึ่งถือเทียนไฟฟ้าแสงเหลืองเป็นเปลวเทียนสว่างไสว มืออีกข้างถือพระฉายาลักษณ์

​ทุกท่านมาด้วยใจและความรู้สึกถึงชาติไทยของเรา นี่เป็นสิ่งที่คนไทยในต่างแดนอย่างประเทศเยอรมนีได้แสดงออกอย่างเปิดเผย

​ไม่ใช่เพียงพี่น้องชาวไทยเท่านั้น ชาวเยอรมนีหัวใจไทยจำนวนมากก็มาร่วมในพิธีนี้

​ประตูบรันเดนบวร์ก กรุงเบอร์ลิน
16 พ.ย. 2568
17:00 น.
Amidst the cold weather and a light, dampening rain, Thai people from all directions gathered at the Brandenburg Gate, the powerful landmark of Berlin, to light candles in remembrance of the profound grace of Her Majesty Queen Sirikit The Queen Mother of Thailand. 

​Everyone wore mourning attire as appropriate. Many ladies wore the Silk Chud Thai in black, symbolizing Her Majesty's royal contributions to Thai textiles.

​Gazing at everyone's hands, one hand held an electric yellow candle, its light shining brightly, while the other held a portrait of Her Majesty.

​Everyone came with their hearts and a deep feeling for our Thai nation. This is a public demonstration by the Thai community in Germany.

​It was not only Thai nationals, but also many German people with Thai hearts who joined this ceremony.
At Brandenburg Gate, Berlin
16.11.2025
17:00

Monday, November 10, 2025

เมื่อกำแพงเบอร์ลินพังทลาย: ครบรอบ 36 ปี จุดสิ้นสุดของสัญลักษณ์แห่งการแบ่งแยกของเยอรมนี

กำแพงเบอร์ลินนะครับผม”

😃 เมื่อกำแพงเบอร์ลินพังทลาย: ครบรอบ 36 ปี จุดสิ้นสุดของสัญลักษณ์แห่งการแบ่งแยกของเยอรมนี

ทุกวันที่ 9 พฤศจิกายน ของทุกปี นับตั้งแต่วันที่ 9 พฤศจิกายน 1989 (พ.ศ.2532) “กำแพงเบอร์ลิน” ม่านกำแพงคอนกรีตเครื่องหมายแห่งความแตกแยกและสงครามเย็นระหว่างเยอรมันตะวันตกและเยอรมันตะวันออก พังทลายลงด้วยน้ำมือของประชาชนชาวเยอรมันจากทั้งสองฝั่งที่ปรารถนาในอิสรภาพและความเป็นหนึ่งเดียว กลายเป็นการล่มสลายของยุคสมัยแห่งการแบ่งขั้วอุดมการณ์ทางการเมืองที่ดำรงมายาวนานเกือบสามทศวรรษ

😀 กำแพงเบอร์ลินในจินตนาการ

อันที่จริง ผมเป็นคนหนึ่งที่เข้าใจว่ากำแพงเบอร์ลินเป็นสถาปัตยกรรมเหมือนกำแพงเมืองจีนอันหยิ่งใหญ่  ผมรู้จักกำแพงเบอร์ลินครั้งแรกจากหนังสือเรียนสมัยมัธยมและครั้งที่ต่อมาตอนเรียนวิชา German culture สมัยเรียนที่ ม.อ.ปัตตานี ผมจึงจินตนาการว่ากำแพงเบอร์ลินเป็นสิ่งก่อสร้างขนาดมหึมาดังป้อมปราการกันข้าศึกสงคราม แต่แท้จริงแล้ว กำแพงแห่งนี้มีความหมายเชิงประวัติศาสตร์และการเมืองอันมหาศาล สร้างขึ้นเป็นแนวคอนกรีตเสริมเหล็กธรรมดา ๆ หรือจะบอกว่าเหมือนกำแพงคุกขังนักโทษและรายล้อมด้วยทหารอาวุธสงครามครบมือ คุ้มกันเข้มงวด เสริมลวดหนาม และหอสังเกตการณ์  กำแพงเบอร์ลินจึงเป็นเครื่องมือแห่งอุดมการณ์มากกว่าเป็นสิ่งก่อสร้างทั่วไปครับ รู้ไหมครับว่าคนไทยที่มาเที่ยวเบอร์ลินอยากจะเห็นกำแพงเบอร์ลินที่สุดและมักจะวาดความคิดว่ากำแพงเบอร์ลินเหมือนกำแพงเมืองจีน

สำหรับเยอรมนีตะวันออก (East Germany) หรือเขตที่ควบคุมด้วยสหภาพโซเวียต (ปัจจุบันล่มสลายไปแล้ว)กำแพงนี้คือกำแพงกักขังประชาชนในระบอบคอมมิวนิสต์ เพื่อป้องกันไม่ให้แรงงานและปัญญาชนหลบหนีออกนอกประเทศ ขณะเดียวกัน เยอรมนีตะวันตก (West Germany) มองกำแพงเบอร์ลินเป็นสัญลักษณ์แห่งการกดขี่ ถ้าย้อนกลับไปดูกำเนิดของกำแพงเบอร์ลินหรือเจ้าม่านกำแพงคอนกรีตเสริมเหล็กนี้ถือกำเนิดขึ้นในคืนวันที่ 13 สิงหาคม 1961 (พ.ศ.2504) ภายใต้คำสั่งของรัฐบาลเยอรมนีตะวันออกเพื่อหยุดยั้งการหลบหนีของพลเมืองจากฝั่งตะวันออกที่กล่าวกันว่ามีความยากจนและขาดเสรีภาพ ไปยังฝั่งตะวันตกที่มั่งคั่งกว่า

โครงสร้างคอนกรีตสูงกว่า 2.5 เมตร ยาว 155 กิโลเมตร พร้อมลวดหนามและหอสังเกตการณ์ได้กลายเป็นเครื่องตัดขาดผู้คน ครอบครัว และเพื่อนร่วมชาติออกจากกันอย่างสิ้นเชิง ตลอดระยะเวลา 28 ปี มีผู้คนจำนวนมากเสี่ยงชีวิต ตาย บาดเจ็บเพื่อหลบหนี และหลายคนไม่เคยข้ามกำแพงนั้นไปได้เลยด้วยซ้ำครับ

😃 พลังแห่งประชาชนและการล่มสลาย
ในช่วงปลายคริสต์ทศวรรษ 1980 (ประมาณช่วง พ.ศ.2529) กระแสเรียกร้องประชาธิปไตยในเยอรมนีตะวันออกได้ปะทุขึ้นทั่วประเทศ กระทั่งในค่ำวันที่ 9 พฤศจิกายน 1989 (พ.ศ.2532) ด้วยความโก๊ะหรือผิดพลาดอย่างไม่ตั้งใจ เจ้าหน้าที่ของรัฐบาลเยอรมนีตะวันออกแถลงข่าวโดยบังเอิญว่า จะอนุญาตให้ประชาชนเดินทางข้ามพรมแดนได้อย่างเสรีทันที ผู้คนได้ข่าวจึงหลั่งไหลสู่จุดตรวจชายแดน (Checkpoint) อย่างล้นหลาม เมื่อต้องเผชิญกับมวลชนที่มายืนอย่างสงบ ทหารรักษาการณ์ตัดสินใจเปิดประตูพรมแดน ประชาชนจากทั้งสองฝั่งโผเข้ากอดกันและช่วยกันทุบทำลายกำแพงเบอร์ลิน เป็นสัญลักษณ์ของชัยชนะแห่งเสรีภาพ ขณะปีนป่านและทุบลำลายกำแพงเบอร์ลิน พร้อมเสียงตะโกนก้องกัมปนาทว่า

“Wir sind das Volk!” พวกเราคือประชาชน
“Wie sind frei!” พวกเราเป็นอิสระ
“Wir haben die Mauer zerbrochen” พวกเราพังกำแพงเบอร์ลินแล้ว

ส่วนเพลงสากลดัง ๆ ที่กล่าวถึงกำแพงเบอร์ลินคงไม่ใช่เพลงไหน นั่นคือ Wind of Change ของวง Scorpians แม้จะดังขึ้นมากหลังจากเหตุการณ์นี้ในชั่วเวลาสั้น ๆ

แม้ปัจจุบันกำแพงเบอร์ลินพังทลายลงไปและเหลือเพียงซากแห่งความรำลึก (Erinnerungskultur) ที่เจ็บปวดในหน้าประวัติศาสตร์แห่งชาติเยอรมนี ประชาชนจึงเรียนรู้เพื่อไม่ให้กำแพงเบอร์ลินเกิดขึ้นได้อีก ส่วนที่เหลือของกำแพงเบอร์ลินบางจุดที่เคยเกิดเหตุการณ์สำคัญถูกรักษาไว้เป็นอนุสรณ์สถาน เพื่อเตือนให้คนรุ่นหลังตระหนักถึงราคาของการแบ่งแยก และคุณค่าของเสรีภาพที่ประชาชนต้องร่วมกันสร้างและปกปักรักษา

เศษชิ้นส่วนถูกนำไปทำเป็นของที่ระลึกวางจำหน่ายตามร้านขายของที่ระลึกทั่วกรุงเบอร์ลิน ซึ่งเศษชิ้นส่วนเหล่านี้ได้รับการลงทะเบียนจากองค์กรทางศิลปะของเยอรมนี

สิ่งที่ผมยังได้ยินเสมอจากเพื่อนชาวเยอรมันเกิดและเติมโตจากฝั่งเยอรมันตะวันออกหรือแม้แต่ข่าวในโทรทัศน์ พวกเขายังพูดถึงทัศนคติและอุดมการณ์หรือคุณค่าทางการเมืองที่ต่างกัน ความคิดพื้นฐานและการปลูกฝังแนวการใช้ชีวิตก็ยังมีจุดแตกต่างกันเล็กน้อย แต่พื้นฐานที่ทำให้คนเยอรมันไม่ต่างกัน คือ การอยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญและกฎหมายตามหลักนิติรัฐ จึงเป็นเรื่องที่ควรศึกษาและเรียนรู้เพื่อปรับเปลี่ยนให้เหมาะสมกับสภาพสังคมและวัฒนธรรม

ณัฐพล จารัตน์

ถนน Forststraße เขต Steglitz กรุงเบอร์ลิน 

10.11.2568

#ภาพถ่ายทั้งหมดเป็นภาพที่ถ่ายด้วยตนเอง