Search This Blog

Monday, October 20, 2025

สมาคมสนับสนุนภาควิชาประวัติศาสตร์การทหาร มหาวิทยาลัยพอทสดัม (Förderverein des Lehrstuhls für Militärgeschichte an der Universität Potsdam e.V.)

สมาคม Förderverein des Lehrstuhls für Militärgeschichte an der Universität Potsdam e.V. ก่อตั้งขึ้นเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ. 2019 โดยมีเป้าหมายเพื่อสนับสนุนการเรียนการสอนและการวิจัยด้านประวัติศาสตร์การทหารและความรุนแรง (Militär- und Gewaltgeschichte) ที่มหาวิทยาลัยพอทสดัม (Universität Potsdam)


หนึ่งในพันธกิจสำคัญคือการส่งเสริมหลักสูตรปริญญาโทนานาชาติ International War Studies ที่สอนเป็นภาษาอังกฤษ ซึ่งจัดขึ้นร่วมกันระหว่างมหาวิทยาลัยพอทสดัมและ University College Dublin ประเทศไอร์แลนด์ หลักสูตรนี้เป็นหลักสูตร bi-nationale ที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวในระดับโลก มุ่งเน้นให้ความเข้าใจเกี่ยวกับการก่อกำเนิดและการยุติของความขัดแย้งทางทหาร พลวัตของความรุนแรง และความสัมพันธ์ระหว่างทหารกับสังคม

นอกจากการสนับสนุนการเรียนการสอนแล้ว สมาคมยังผลักดัน โครงการและกิจกรรม เพื่อสร้างพื้นที่แลกเปลี่ยนความคิดเห็นระหว่างสังคม เศรษฐกิจ และศาสตร์ด้านมนุษยศาสตร์ ส่งเสริมการบูรณาการองค์ความรู้จากหลายมิติ

คณะกรรมการบริหาร (Vorstand)

  • Prof. Dr. Sönke Neitzel (ประธาน)
    ตั้งแต่ปี 2015 เป็นผู้ดำรงตำแหน่งศาสตราจารย์ประวัติศาสตร์การทหารที่มหาวิทยาลัยพอทสดัม

  • Peter Matteo (รองประธาน)
    กรรมการผู้จัดการ บริษัท Groß und Partner Grundstücksentwicklungsgesellschaft GmbH

  • Rainer Ruff (เหรัญญิก)
    อดีตเลขาธิการ Volksbund Deutsche Kriegsgräberfürsorge และนักกฎหมาย

  • Dr. Alexander Schmidt-Lossberg (เลขานุการ)
    นักกฎหมายจากสำนักงาน SKW Schwarz

การติดต่อ (Kontakt)

Förderverein des Lehrstuhls für Militärgeschichte e.V.
c/o Prof. Dr. Sönke Neitzel
Am Neuen Palais 10
14469 Potsdam
อีเมล: soenke.neitzel@uni-potsdam.de

ลงทะเบียนในทะเบียนสมาคม (Vereinsregister)
ศาล: Amtsgericht Charlottenburg
หมายเลขทะเบียน: VR 37336 B

การสนับสนุนและบริจาค (Spendenkonto)

Badische Beamtenbank

  • IBAN: DE2866 0908 0000 0704 1934

  • BIC: GENODE61BBB

รายละเอียดเพิ่มเติม: www.uni-potsdam.de/de/hi-militaergeschichte/foerderverein









หลักสูตรปริญญาโท สาขา War and Conflict Studies มหาวิทยาลัยพอทสดัม ประเทศเยอรมนี

หลักสูตร War and Conflict Studies ของมหาวิทยาลัยพอทสดัม ประเทศเยอรมนี เป็นหลักสูตรสหวิทยาการที่มุ่งเน้นการทำความเข้าใจสาเหตุ ความเป็นมา บริบท และพลวัตของความขัดแย้งที่ใช้ความรุนแรง ทั้งในระดับชาติและระหว่างประเทศ โดยใช้กรอบแนวคิดจากหลายศาสตร์ ไม่ว่าจะเป็นประวัติศาสตร์การทหาร ประวัติศาสตร์วัฒนธรรมของความรุนแรง สังคมวิทยาการทหาร ตลอดจนวิธีการและทฤษฎีจากสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์

เนื้อหาการเรียน

ผู้เรียนจะได้ศึกษาทั้งสงครามและความขัดแย้งในเชิงลึก ตั้งแต่ยุคใหม่ตอนต้น จนถึงประวัติศาสตร์ร่วมสมัยในศตวรรษที่ 19 และ 20 รวมถึงประเด็นร่วมสมัยในปัจจุบัน หลักสูตรจะช่วยให้ผู้เรียนสามารถวิเคราะห์ทั้งสงครามประวัติศาสตร์และความขัดแย้งปัจจุบันในเชิงซับซ้อน และสามารถใช้ทักษะการวิพากษ์และการนำเสนออย่างมีระบบ

เป้าหมายและเส้นทางอาชีพ

หลักสูตรมุ่งสร้างนักวิเคราะห์ที่มีความรู้รอบด้าน สามารถประเมินและอธิบายความขัดแย้ง รวมถึงอภิปรายผลลัพธ์ทางการเมือง สังคม และวัฒนธรรมได้อย่างมีเหตุผล ผู้สำเร็จการศึกษาจะมีโอกาสทำงานในสายวิชาการ สื่อสารมวลชน งานเชิงนโยบาย หน่วยงานราชการ องค์กรระหว่างประเทศ Think Tank พิพิธภัณฑ์ มูลนิธิ การเผยแพร่วัฒนธรรม รวมถึงองค์กรพัฒนาเอกชน (NGOs)

การวิจัยและการฝึกงาน

มหาวิทยาลัยพอทสดัมมีเครือข่ายความร่วมมือที่กว้างขวางกับสถาบันวิชาการและการเมือง เช่น ศูนย์ประวัติศาสตร์การทหารและสังคมศาสตร์กองทัพบุนเดสเวร์ (ZMSBw) กระทรวงกลาโหมเยอรมัน สตูดิโอ ZDF เบอร์ลิน พิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์เยอรมัน (DHM) และสถาบัน International Institute for Strategic Studies (IISS) ที่ลอนดอน รวมถึงการร่วมมือกับฝ่ายประวัติศาสตร์ร่วมสมัยของสื่อเยอรมันรายใหญ่ ทำให้นักศึกษามีโอกาสฝึกงานและสร้างเครือข่ายในระดับสากล

โครงสร้างการเรียน

หลักสูตรมีระยะเวลาเรียน 4 ภาคการศึกษา รวม 120 หน่วยกิต (LP) โดยประกอบด้วย

  • วิชาบังคับ เช่น บทนำ War and Conflict Studies, สังคมและการทหารในยุค “สงครามเบ็ดเสร็จ” (1792–1945), ทฤษฎีและวิธีการ War and Conflict Studies, การฝึกงาน และการสัมมนาสรุป

  • วิชาเลือก เช่น การเมืองด้านความมั่นคง ประวัติศาสตร์ระหว่างประเทศตั้งแต่ศตวรรษที่ 20 ตอนต้น สังคมและการทหารหลัง ค.ศ.1945 ตลอดจนการวิเคราะห์กองกำลังและความมั่นคงเชิงประวัติศาสตร์และสังคมศาสตร์

  • วิทยานิพนธ์ปริญญาโท (Masterarbeit)

คุณสมบัติผู้สมัคร

ผู้สนใจต้องสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรีหรือเทียบเท่าในสาขาที่เกี่ยวข้อง เช่น ประวัติศาสตร์ รัฐศาสตร์ หรือสังคมวิทยา และมีหน่วยกิตด้านประวัติศาสตร์หรือสังคมศาสตร์อย่างน้อย 40 หน่วยกิต รวมถึงต้องมีทักษะภาษาอังกฤษในระดับ B2 ตามมาตรฐาน CEFR

การสมัครและการติดต่อ

การสมัครเรียนสามารถทำได้ในภาคการศึกษาฤดูหนาวเท่านั้น ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับการสมัคร การให้คำปรึกษา และรายละเอียดหลักสูตร สามารถดูได้ที่เว็บไซต์ของมหาวิทยาลัย:
🌐 www.warandconflictstudies.de

ติดต่อสอบถาม:









ณัฐพล จารัตน์

เบอร์ลิน

20.10.2568

ฤดูใบไม้ร่วง อุณหภูมิ 6 องศา









Thursday, October 16, 2025

คำปราศรัยและเสวนาของ Dr.Johann Wadephul รมว.กต.เยอรมัน ในโอกาสครบรอบ 40 ปีการก่อตั้งศูนย์เยอรมัน-ญี่ปุ่น กรุงเบอร์ลิน (Japanisch-Deutsches Zentrum Berlin:JDZB)

เยอรมันและญี่ปุ่น - หุ้นส่วนระดับพรีเมียมเพื่อเสรีภาพ ความมั่นคง และความมั่งคั่ง (Deutschland und Japan - Premiumpartner für Freiheit, Sicherheit und Wohlstand)

ผมได้เข้าร่วมฟังคำปราศรัยและเสวนาของ Dr.Johann Wadephul รมว.กต.เยอรมัน ในโอกาสครบรอบ 40 ปีการก่อตั้งศูนย์เยอรมัน-ญี่ปุ่น กรุงเบอร์ลิน (Japanisch-Deutsches Zentrum Berlin:JDZB) จัดขึ้นที่ Japanisch-Deutsches Zentrum กรุงเบอร์ลิน เมื่อวันที่ 14 ตุลาคม 2568

ท่าน รมว.กต. ได้กล่าวปราศรัยอย่างเป็นกันเองกับผู้ร่วมงาน ซึ่งเป็นตัวแทนสถานเอกอัครราชทูตต่าง ๆ ในเยอรมนี นักการเมือง สื่อเยอรมนีและญี่ปุ่น เข้าร่วมฟังด้วย 

ผมแบ่งเป็น 4 ประเด็น คือ

ประเด็นที่ 1. ความสัมพันธ์ทวิภาคีระหว่างเยอรมัน-ญี่ปุ่น และข้อคิดเห็นจากการเดินทางเยือนญี่ปุ่นครั้งล่าสุดของท่าน รมว.กต.

ความสัมพันธ์ระหว่างเยอรมนีและญี่ปุ่นถือเป็นหนึ่งในความสัมพันธ์ทวิภาคีที่มีรากฐานมั่นคงและยืนยาว และปฏิเสธไม่ได้เลยว่าทั้งสองประเทศไม่เพียงแต่เป็นมิตรที่ดีต่อกัน แต่ยังเป็นพันธมิตรเชิงยุทธศาสตร์ที่มีความหมายในระดับโลก คำปราศรัยท่านได้สะท้อนให้เห็นถึงความต่อเนื่องและความสำคัญของความสัมพันธ์นี้อย่างเด่นชัด และกล่าวยกย่องบทบาทของ JDZB ที่เป็นสะพานเชื่อมระหว่างประชาชนยุโรปกับโลกตะวันออก โดยเฉพาะญี่ปุ่น ทั้งในด้านภาษา วัฒนธรรม วิทยาศาสตร์ และการแลกเปลี่ยนทางสังคมมาโดยตลอด นอกจากนี้ ท่านยังได้แบ่งปันความประทับใจเล่าถึงการเดินทางเยือนญี่ปุ่นอย่างเป็นทางการครั้งล่าสุด โดยยกตัวอย่างระบบรถไฟชินคันเซ็นจากโตเกียวไปโอซาก้า ที่เป็นสัญลักษณ์ของนวัตกรรมและประสิทธิภาพของญี่ปุ่น เป็นสิ่งที่เยอรมนีสามารถเรียนรู้และรับแรงบันดาลใจต่อยอดได้ การเยือนญี่ปุ่นครั้งนี้ไม่ได้เป็นเพียงการทูตเชิงสัญลักษณ์ แต่เป็นการรับรู้ถึงศักยภาพและบทเรียนที่สามารถนำมาปรับใช้จริงในเยอรมนี จุดสำคัญของหัวข้อในวันนี้ คือการยกระดับความสัมพันธ์ของทั้งสองประเทศด้วยคำว่า "Premiumpartner" (Premium Partner) หรือหุ้นส่วนระดับพรีเมียม ที่ก้าวข้ามความร่วมมือทั่วไปไปสู่การเป็นพันธมิตรเชิงกลยุทธ์และนวัตกรรมเน้นความสำคัญเชิงกลยุทธ์และสิทธิพิเศษที่ได้รับ

ประเด็นที่ 2. ค่านิยมและผลประโยชน์ร่วมกันในยุโรปและเอเชียตะวันออก

ตามคำปราศรัยเข้าใจได้ว่า เยอรมนีและญี่ปุ่นมีค่านิยมที่คล้ายคลึงกันมาก ทั้งสองประเทศยืนหยัดเพื่อประชาธิปไตย เสรีภาพ สิทธิมนุษยชน และการเคารพกฎหมายระหว่างประเทศ ทั้งสองประเทศเป็นประเทศอุตสาหกรรมและผู้ส่งออกที่มีบทบาทสำคัญในเศรษฐกิจโลก ผลประโยชน์ร่วมกันที่สำคัญ คือ การรักษาความมั่นคงของเส้นทางการค้าทางทะเลและการคงอยู่ของระเบียบเศรษฐกิจที่เป็นธรรมและมีเสถียรภาพในโลกปัจจุบัน โดยเแฑาะการค้าเสรีที่เป็นธรรมจะสร้างความมั่งคั่งให้แก่ทุกฝ่าย และสร้างความเจริญก้าวหน้าขึ้นได้จากการร่วมมือกัน รวมถึง ความมั่นคงของยุโรปและเอเชียตะวันออกไม่ได้แยกออกจากกันโดยสิ้นเชิง หากแต่เชื่อมโยงกันอย่างแนบแน่น สงครามรัสเซียกับยูเครนที่เกิดขึ้นในยุโรปส่งผลสะเทือนถึงเอเชียตะวันออก เพราะจีนและเกาหลีเหนือเป็นผู้สนับสนุนฝ่ายรัสเซีย ขณะเดียวกัน ความไม่มั่นคงในเอเชียตะวันออกก็ส่งผลต่อยุโรปผ่านเส้นทางการค้าและภูมิรัฐศาสตร์ จึงเป็นเหตุผลที่สองภูมิภาค คือ ยุโรปและเอเชียตะวันออก (เยอรมนีและญี่ปุ่น) นี้ต้องเผชิญชะตากรรมร่วมกัน และจำเป็นต้องร่วมมือกันอย่างใกล้ชิด

ประเด็นที่ 3.ความมั่นคงในภูมิภาคอินโดแปซิฟิก และความมั่นคงทางเศรษฐกิจ

ท่านเน้นย้ำถึงความมั่นคงหลายครั้งในคำปราศรัย ท่านได้หยิบยกกรณีของภูมิภาคอินโดแปซิฟิกขึ้นมาให้เห็นชัดเจนว่าเป็นภูมิภาคยุทธศาสตร์ที่มีความสำคัญไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ายุโรป ฉะนั้น เยอรมนีต้องตระหนักว่าการคงอยู่ของเสรีภาพในเส้นทางเดินเรือและการปกป้องกฎหมายระหว่างประเทศจำเป็นต้องได้รับการสนับสนุนอย่างเป็นรูปธรรมยิ่วไปกว่านั้น การที่เยอรมนีส่งกองทัพเรือและกองทัพอากาศเยอรมันไปปฏิบัติภารกิจในภูมิภาคอินโดแปซิฟิกจึงเป็นสัญลักษณ์และการยืนยันพันธกรณีที่แท้จริง การฝึกร่วมกับญี่ปุ่น เช่น การมาเยือนของเครื่องบิน F-15 จากญี่ปุ่น ที่เมือง Rostock ของเยอรมนี ได้สะท้อนการร่วมมือด้านความมั่นคงที่แน่นแฟ้นยิ่งขึ้นระหว่างทั้งสองประเทศ

ขณะเดียวกัน ความมั่นคงทางเศรษฐกิจของประเทศต่าง ๆ กำลังถูกใช้เป็นเครื่องมือบีบบังคับทางการเมืองระหว่างประเทศ ความขัดแย้งทางทหารก็ส่งผลกระทบต่อเส้นทางการค้า ดังนั้นการลดการพึ่งพาที่สำคัญ (Critical Dependencies) และการกระจายทางเศรษฐกิจ (Diversification) จึงเป็นวาระร่วมของเยอรมนีและญี่ปุ่น โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมเชิงยุทธศาสตร์ เช่น เซมิคอนดักเตอร์และระบบโทรคมนาคมที่ปลอดภัย ญี่ปุ่นก้าวหน้ากว่าเยอรมนี ดังนั้น การสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจร่วมกันจึงเป็นเป้าหมายสำคัญของความร่วมมือทวิภาคี

ประเด็นที่ 4. บทบาทของทั้งสองประเทศในการเสริมสร้างระเบียบโลกที่ตั้งอยู่บนกฎเกณฑ์

บทบาทของเยอรมนีและญี่ปุ่นในฐานะผู้พิทักษ์ระเบียบโลกที่ตั้งอยู่บนกฎเกณฑ์และข้อตกลง ทั้งเยอรมนีและญี่ปุ่นกำลังเผชิญกับความท้าทายจากมหาอำนาจที่พยายามใช้อำนาจและกำลังทหารเพื่อเขียนกติกาใหม่ ทั้งจากรัสเซียในยุโรป และจากจีนหรือเกาหลีเหนือในเอเชียตะวันออก บทบาทของเยอรมนีและญี่ปุ่นจะต้องไม่เพียงร่วมมือกันในระดับรัฐบาล แต่ยังต้องเสริมสร้างความสัมพันธ์ในระดับประชาชนและสังคม เพื่อสร้างความเข้าใจ ความไว้วางใจ และความผูกพันที่ยั่งยืน ยกตัวอย่าง ศูนย์ JDZB เป็นตัวอย่างของการสร้างสะพานเชื่อมทางสังคมวัฒนธรรมซึ่งมีค่าเทียบเท่ากับการทูตและความร่วมมือทางการเมืองระหว่างสองประเทศ ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อทั้งสองประเทศยกระดับตัวเองเป็นหุ้นส่วนระดับพรีเมียมของโลกเสรีประชาธิปไตย ที่พร้อมจะร่วมมือกันเพื่อเสริมสร้างเสถียรภาพ ความมั่นคง และความมั่งคั่งบนพื้นฐานของกฎเกณฑ์สากล 

ในช่วงท้ายท่านได้กล่าวอย่างมีนัยะสรุปได้ว่า เยอรมนีและญี่ปุ่นไม่ได้ยืนยันร่วมกันในฐานะนักดับเพลิง (น่าจะหมายถึง พันธมิตรที่ถูกเรียกใช้ในยาวมีอันตราย) แต่ทั้งสองประเทศเป็นเพื่อนที่มีมิตรภาพที่ยั่งยืนและใกล้ชิดทั้งยามสุขและทุกข์

โดโมะ อาริกาโตะ โกะซัยมัส! ดังเคอร์!

16.10.2568

กรุงเบอร์ลิน

วิเคราะห์จากคำปราศรัยของท่านจากลิ้งก์นี้นะครับ

https://www.auswaertiges-amt.de/de/newsroom/wadephul-jdzb-2739728 

Friday, August 29, 2025

Book: Siam and World War I

I received this book, and it helps me understand much better the situation of Siamese soldiers during the First World War. Siam and World War I: An International History by Stefan Hell explains a part of history that many Thai people do not know well. It tells how Siam, under King Vajiravudh of Siam (King Rama VI), declared war on Germany and Austria-Hungary in 1917 and sent soldiers to support the Allies.

The book shows with photos and reports that Siamese soldiers not only joined the war but also entered German territory after the fighting ended. This was very important for Siam, because it made the country the only nation in Southeast Asia to sign the Treaty of Versailles. It gave Siam more respect and recognition in the world.

The book also shows the difficulties for those soldiers. They traveled far from home to Europe, a place they did not know. They suffered in the cold winter, they had problems with language and culture, and they had to learn new ways of fighting. But they did their duty with pride and honor.

When I read these some stories, I can see the courage, sacrifice, and strong will of our ancestors who joined the world war. I feel proud to imagine the Siamese Trai Rong flag flying next to the flags of the great powers of that time.

I want to say thank you @ChanasitJonas for this book. It is not only useful information but also a reminder that Siam was part of world history. It teaches me the real meaning of sacrifice for the country and the important role of our soldiers in World War I.

#สงครามโลก #ทหารไทย #สยาม #TruthFromThailand #Thailand #German

Tuesday, August 26, 2025

วิทยากรบรรยายในหัวข้อ "Willst du n Titel? - Mach gucklich richtig und gut!"

Willst du n Titel? - Mach gucklich richtig und gut!
ในช่วงวันที่ 1-3 สิงหาคม พ.ศ. 2568 ผมได้รับเกียรติเป็นวิทยากรบรรยายในหัวข้อ "Willst du n Titel? - Mach gucklich richtig und gut!" ให้กับสำนักงานผู้ดูแลนักเรียนในสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี และนักเรียนทุนรัฐบาลไทยที่กำลังศึกษาอยู่ที่นั่น
ในการบรรยายครั้งนี้ ผมได้นำเสนอแนวคิดจาก Cross-cultural Dimensions Tool ของ ศาสตราจารย์ Geert Hofstede ซึ่งเป็นทฤษฎีสำคัญในด้าน Cross Cultural Management ที่ได้รับการยอมรับในระดับสากล ผมใช้เครื่องมือนี้ในการวิเคราะห์และฉายให้เห็นถึงความแตกต่างทางวัฒนธรรมระหว่างไทยกับเยอรมัน เพื่อเปิดมุมมองใหม่ ๆ ให้กับนักเรียนทุน ซึ่งผมทราบมาว่ามีน้อง ๆ บางคนได้ไปค้นคว้าข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับเรื่องนี้ ทำให้เกิดความเข้าใจที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้น

นอกจากนี้ การใช้ข้อมูลเชิงตัวเลขในการวิเคราะห์ยังช่วยให้นักเรียนสายวิทยาศาสตร์สามารถทำความเข้าใจเนื้อหาที่ซับซ้อนได้อย่างง่ายดาย

ผมรู้สึกผูกพันกับทฤษฎีของศาสตราจารย์ Hofstede เป็นพิเศษ เพราะก่อนหน้านี้ผมเคยติดต่อกับท่านทางอีเมลเพื่อขออนุญาตนำทฤษฎีของท่านมาใช้ในวิทยานิพนธ์ระดับปริญญาโท แม้ท่านจะไม่ใช่อาจารย์ของผมโดยตรง แต่การแลกเปลี่ยนความรู้หลายครั้งก็ทำให้ผมได้รับความเมตตาและข้อมูลเชิงลึกมากมายจากท่าน แม้ว่าท่านจะจากไปนานแล้ว แต่ผมก็ยังคงระลึกถึงท่านเสมอมา

การบรรยายในครั้งนี้จึงเป็นโอกาสที่ผมตั้งใจจะนำเสนอแนวคิดของท่าน เพื่อเป็นการรำลึกและแสดงความขอบคุณจากใจจริง ซึ่งผมหวังเป็นอย่างยิ่งว่าองค์ความรู้นี้จะเป็นประโยชน์ต่อนักเรียนทุนรัฐบาลไม่มากก็น้อย

สุดท้ายนี้ ผมขอขอบพระคุณท่าน อัครราชทูตที่ปรึกษา (ฝ่ายการศึกษา) และเจ้าหน้าที่ทุกท่านของสำนักงานผู้ดูแลนักเรียนฯ ที่มอบโอกาสอันมีค่านี้ให้ผมได้มาร่วมแบ่งปันความรู้ รวมถึงขอขอบพระคุณ สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงเบอร์ลิน ที่ให้ผมได้มีส่วนร่วมในงานและกิจกรรมต่าง ๆ ของท่านมาโดยตลอดครับ

ณัฐพล จารัตน์
ณ กรุงเบอร์ลิน
เขียนเมื่อ 26.08.2568
A Talk on Cross-cultural Understanding
From August 1st to 3rd, 2025, I was a speaker at an event for Thai students in Germany. The event was titled "Willst du n Titel? - Mach gucklich richtig und gut!" and was organized by the Office of the Educational Affairs.

My talk focused on the Cross-cultural Dimensions Tool by Professor Geert Hofstede. This is a well-known theory used to understand different cultures. I explained the cultural differences between Thailand and Germany to the students, giving them a wider perspective. It was helpful for science students because the theory uses numbers to analyze cultures, which made it easier to understand.

This topic is very important to me. I had a special connection with Professor Hofstede because I contacted him by email to ask for his permission to use his theory for my master's thesis. We exchanged many emails, and he was very kind and helpful. I learned a lot from him, even though he was not my direct professor. He passed away a few years ago, but I will always remember his kindness.
I chose to present his theory at this event to honor him and show my gratitude. I believe that understanding these cultural differences will be very useful for the students. I was happy to hear that some students researched the topic more after the talk.

Finally, I would like to thank the Minister Counsellor (Educational Affairs) and all the staff at the Office of the Educational Affairs for inviting me. I also want to thank the Royal Thai Embassy in Berlin for letting me participate in many of their events.

Wednesday, July 2, 2025

สมาคมแม่บ้านทอ. เปลี่ยนชื่อเป็น “สมาคมคู่สมรสทหารอากาศ” ก้าวสำคัญสู่ความเสมอภาคในกองทัพ (Royal Thai Air Force Wives Association Renamed as Royal Thai Air Force Spouses Association: A Step Towards Equality in the Military)

เมื่อ 1 ก.ค. 2568 สมาคมแม่บ้านทหารอากาศ (AFWA) ได้เปลี่ยนชื่ออย่างเป็นทางการเป็น สมาคมคู่สมรสทหารอากาศ (AFSA) ตามดำริของคุณมนทิรา พัฒนกุล นายกสมาคม เพื่อให้สอดคล้องกับสภาพสังคมปัจจุบันและบทบาทของคู่สมรสทุกเพศในกองทัพ

การเปลี่ยนแปลงนี้สะท้อนความเคารพสิทธิเสรีภาพตาม รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2560 มาตรา 27 ที่รับรองความเสมอภาคและการไม่เลือกปฏิบัติเพราะเหตุแห่งเพศ และสอดคล้องกับทิศทางของ กฎหมายสมรสเท่าเทียม ที่เปิดทางให้คู่สมรสเพศเดียวกันได้รับสิทธิในทางกฎหมายอย่างเท่าเทียม

นอกจากนี้ ยังสนับสนุน เป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs) ข้อที่ 5: ความเท่าเทียมทางเพศ (Gender Equality) และ ข้อที่ 10: ลดความเหลื่อมล้ำ (Reduced Inequalities) ผ่านการเปิดกว้างขององค์กรต่อทุกบทบาทคู่ชีวิตของกำลังพล

สมาคมฯ ก่อตั้งเมื่อปี 2528 โดยมีบทบาทในการเสริมสร้างความสัมพันธ์ในครอบครัวทหารอากาศ ส่งเสริมงานสังคมสงเคราะห์ และสนับสนุนกิจการของกองทัพอย่างต่อเนื่องกว่า 40 ปี การปรับชื่อครั้งนี้ถือเป็นก้าวย่างสำคัญที่แสดงถึงความเข้าใจและการเปลี่ยนผ่านอย่างเคารพในความหลากหลายของสังคมไทย

Royal Thai Air Force Wives Association Renamed as Royal Thai Air Force Spouses Association: A Step Towards Equality in the Military

On July 1, 2025, the Royal Thai Air Force Wives Association (AFWA) officially changed its name to the Royal Thai Air Force Spouses Association (AFSA), under the initiative of Mrs. Monthira Patthanakun, the association’s president. The change reflects modern social context and recognizes the roles of spouses of all genders in the military.

This transformation respects civil rights as guaranteed in Section 27 of the 2017 Constitution of the Kingdom of Thailand, which prohibits gender-based discrimination and affirms equality. It also aligns with the Marriage Equality Law, which grants equal legal rights to same-sex couples.

Moreover, the renaming supports the Sustainable Development Goals (SDGs) — Goal 5: Gender Equality and Goal 10: Reduced Inequalities, by embracing all partners in military families.

Established in 1985, the association has been committed to strengthening military family relations, supporting social welfare, and contributing to Air Force missions for over 40 years. This renaming marks a significant step forward that reflects awareness and respect for Thailand’s growing diversity.

空軍妻協会、空軍配偶者協会へ名称変更:軍における平等への一歩

2025年7月1日、空軍妻協会(AFWA)は正式に**空軍配偶者協会(AFSA)**へと名称変更を行いました。この変更は、モンティラ・パッタナクン会長の提案によるもので、現代社会の文脈と軍におけるすべての性の配偶者の役割を反映しています。

この変更は、性別に基づく差別を禁じ、平等を保障するタイ王国憲法第27条(2017年)に則っており、同性婚カップルに法的権利を認める婚姻平等法の方向性とも一致しています。

また、この名称変更は、**持続可能な開発目標(SDGs)の目標5「ジェンダー平等」と目標10「不平等の削減」**を支援し、軍人家庭のすべての配偶者の役割を尊重する姿勢を示しています。

この協会は1985年に設立され、40年以上にわたり空軍家族の絆を深め、福祉活動を支援し、空軍の任務を支えてきました。今回の名称変更は、タイ社会の多様性への理解と尊重を象徴する歴史的な一歩です。


รายละเอียดเต็มของข่าวมาจากโพสของกองทัพอากาศ ดังข้อความข่าวและภาพ พร้อมลิ้งก์ ดังนี้ 

สมาคมแม่บ้านทหารอากาศ เปลี่ยนชื่อเป็น “สมาคมคู่สมรสทหารอากาศ” เพื่อให้สอดคล้องกับบริบททางสังคมในปัจจุบัน

คุณมนทิรา พัฒนกุล นายกสมาคมแม่บ้านทหารอากาศ ได้มีดำริให้ปรับปรุงข้อบังคับของสมาคมฯ เพื่อให้สอดคล้องกับบริบททางสังคมในปัจจุบัน อันเป็นการสะท้อนถึงบทบาทของคู่สมรสของกำลังพลกองทัพอากาศ โดยได้ดำเนินการเปลี่ยนชื่อสมาคมฯ จาก “สมาคมแม่บ้านทหารอากาศ (สม.ทอ.)” หรือ Air Force Wives Association (AFWA) เป็น “สมาคมคู่สมรสทหารอากาศ (สค.ทอ.)” หรือ Air Force Spouses Association (AFSA) ซึ่งการเปลี่ยนแปลงดังกล่าวมีผลตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม 2568 เป็นต้นไป

สมาคมแม่บ้านทหารอากาศ (สม.ทอ.) หรือ Air Force Wives Association (AFWA) ก่อตั้งขึ้นเมื่อปีพุทธศักราช 2528 โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมความสัมพันธ์อันดีภายในครอบครัวของกำลังพลกองทัพอากาศ สนับสนุนกิจกรรมด้านสังคมสงเคราะห์ สาธารณประโยชน์ การศึกษา และการพัฒนาคุณภาพชีวิตของสมาชิกและชุมชนโดยรอบ ตลอดจนเป็นองค์กรสนับสนุนภารกิจของกองทัพอากาศในมิติต่าง ๆ ด้วยความมุ่งมั่นมาตลอดระยะเวลากว่า 40 ปี

เพื่อให้การดำเนินการของสมาคมฯ มีความสอดคล้องกับบริบทของสังคมปัจจุบัน และการยอมรับบทบาทของคู่สมรสอย่างรอบด้าน ตลอดจนรองรับต่อระบบการศึกษาที่กองทัพอากาศมีนโยบายเปิดโอกาสให้นายทหารหญิงเข้ารับการศึกษาในหลักสูตรขั้นสูงและสามารถดำรงตำแหน่งที่สูงขึ้นในองค์กรได้ และคู่สมรสของนายทหารหญิงยังสามารถเข้าร่วมเป็นสมาชิกของสมาคมฯ ได้ คุณมนทิรา พัฒนกุล นายกสมาคมแม่บ้านทหารอากาศ จึงมีดำริให้ดำเนินการแก้ไขข้อบังคับของสมาคมฯ และเปลี่ยนชื่อเป็น “สมาคมคู่สมรสทหารอากาศ” (สค.ทอ.) หรือ Air Force Spouses Association (AFSA) โดยการเปลี่ยนแปลงดังกล่าวได้ดำเนินการเสร็จสิ้นเป็นที่เรียบร้อยแล้ว และมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม 2568 เป็นต้นไป

ทั้งนี้ สมาคมคู่สมรสทหารอากาศ (สค.ทอ.) ยังคงยึดมั่นในเจตนารมณ์ดั้งเดิมของการก่อตั้งสมาคม พร้อมปรับบทบาทให้สอดรับกับยุคสมัย โดยจะมุ่งเน้นการดำเนินงานที่ตอบสนองต่อความต้องการของครอบครัวกำลังพลในทุกมิติ ส่งเสริมกิจกรรมเพื่อสาธารณประโยชน์ พัฒนาองค์ความรู้ ทักษะ และคุณภาพชีวิตของสมาชิก รวมถึงสนับสนุนกิจการของกองทัพอากาศ

การเปลี่ยนชื่อสมาคมในครั้งนี้จึงนับเป็นก้าวสำคัญขององค์กร ที่สะท้อนถึงความตระหนักในบริบททางสังคมที่เปลี่ยนแปลงไป และการก้าวสู่อนาคตด้วยความเข้าใจ และเคารพในบทบาทของ “คู่สมรส” ซึ่งเป็นกำลังสำคัญในการเสริมสร้างความมั่นคงให้แก่ครอบครัวและกองทัพอากาศอย่างยั่งยืน

Thursday, June 12, 2025

สุนทรพจน์ของนายกรัฐมนตรีเยอรมนี ฟรีดริช แมร์ซ (Friedrich Merz) ในงาน Familienunternehmer-Tagen 2025 (วันผู้ประกอบการธุรกิจครอบครัว 2025) ที่กรุงเบอร์ลิน

 #เบอร์ลิน #เยอรมนี สุนทรพจน์ของนายกรัฐมนตรีเยอรมนี ฟรีดริช แมร์ซ (Friedrich Merz) ในงาน Familienunternehmer-Tagen 2025 (วันผู้ประกอบการธุรกิจครอบครัว 2025) ที่กรุงเบอร์ลิน เมื่อวันศุกร์ที่ 6 มิถุนายน 2025 มีประเด็นสำคัญ คือ การทำให้เยอรมนีมีความสามารถในการแข่งขันเพิ่มขึ้น #morecompetitive 

นายกรัฐมนตรีแมร์ซเน้นย้ำว่าปัญหาที่เยอรมนีกำลังเผชิญอยู่สามารถแก้ไขได้ด้วยความพยายามของเยอรมนีเอง โดยรัฐบาลกลางต้องการให้การสนับสนุนบริษัทต่างๆ ในทางปฏิบัติ ท่านได้กล่าวยกย่องความมุ่งมั่นของสมาคม Die Familienunternehmer ในการส่งเสริมผลประโยชน์ทางธุรกิจครอบครัวในเยอรมนี คิดเป็นสัดส่วนสูงถึง 90% ของบริษัททั้งหมดในเยอรมนี และมีส่วนสำคัญอย่างยิ่งต่อความเจริญรุ่งเรืองและนวัตกรรมของประเทศ

ในสุนทรพจน์ ท่านนายกกล่าวเชิงนโยบายและการเปลี่ยนแปลงเยอรมัน กล่าวคือ 

  🇩🇪 การเพิ่มความสามารถในการแข่งขัน ท่านนายกรัฐมนตรีชี้ว่าปัญหาหลัก คือ การขาดความสามารถในการแข่งขันด้านราคาของเยอรมนี และต้องการให้บริษัทต่างๆ มีผลกำไรและแข่งขันได้มากขึ้น

 🇩🇪 การเพิ่มการเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัล รัฐบาลดยอรมันกำลังให้ความสำคัญกับการเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัลและการปรับปรุงรัฐให้ทันสมัย อาจมีกระทรวงใหม่ที่มีอำนาจครอบคลุมมารับผิดชอบเรื่องนี้

 🇩🇪 การลดระบบและขั้นตอนของราชการ เยอรมนีต้องลดขั้นตอนระบบราชการที่ยุ่งยากลง โดยจะมีการหารือกับคณะกรรมาธิการยุโรปเพื่อลดระบบราชการในสหภาพยุโรป

 🇩🇪 เยอรมนีต้องมีนโยบายพลังงานที่ดีขึ้น ราคาที่จับต้องได้ ปลอดภัย และเปิดกว้างต่อเทคโนโลยี โดยรัฐบาลต้องการให้ความช่วยเหลือเร่งด่วนแก่บริษัทต่างๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในส่วนของภาษีไฟฟ้าและค่าธรรมเนียมเครือข่าย

ผมคิดว่าจสากสุนทรพจน์ของนายกรัฐมนตรีฟรีดริช แมร์ซสะท้อนให้เห็นถึงความตระหนักของรัฐบาลเยอรมนีต่อความท้าทายทางเศรษฐกิจที่ประเทศกำลังเผชิญ และแสดงเจตจำนงในการแก้ไขปัญหาอย่างจริงจัง

 การให้ความสำคัญกับธุรกิจครอบครัว เป็นการเน้นย้ำถึงบทบาทสำคัญของธุรกิจนี้ ที่คิดเป็นร้อยละ 90 ของบริษัททั้งหมดของเยอรมนี สามารถสร้างยอดขายถึงร้อยละ 37 และจ้างงานกว่าครึ่งหนึ่งของผู้ประกันตนของเยอรมนี แสดงให้เห็นว่ารัฐบาลมองว่าธุรกิจครอบครัวเป็นเสาหลักทางเศรษฐกิจที่จำเป็นต้องได้รับการสนับสนุนอย่างจริงจัง การแก้ไขปัญหาและเพิ่มขีดความสามารถของธุรกิจกลุ่มนี้จะส่งผลดีต่อเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศ

 อย่างไรก็ตามครับ การรับรู้ปัญหาอย่างตรงไปตรงมาของนาายกรัฐมนตรีระบุอย่างชัดเจนว่า ปัญหาหลักของเยอรมนี คือ การขาดความสามารถในการแข่งขันด้านราคา ที่เยอรมนียอมรับสภาพปัญหาอย่างตรงไปตรงมา และเป็นก้าวแรกที่สำคัญในการหาแนวทางแก้ไขที่มีประสิทธิภาพ และหามาตรการแก้ไขอย่างเป็นรูป

  🇩🇪 ด้านดิจิทัลและลดระบบราชการของเยอรมนี ต้องเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัลและลดขั้นตอนราชการ ซึ่งเป็นอุปสรรคสำคัญต่อการทำธุรกิจ แสดงให้เห็นถึงความเข้าใจในปัญหาพื้นฐานที่ผู้ประกอบการต้องเผชิญ การตั้งกระทรวงใหม่ที่มีอำนาจครอบคลุมเป็นสัญญาณที่ดีว่ารัฐบาลให้ความสำคัญกับเรื่องนี้อย่างจริงจัง

 🇩🇪 ส่วนนโยบายพลังงาน ท่านกล่าวว่า พลังงานต้องมีราคาที่จับต้องได้ ปลอดภัย และเปิดกว้างต่อเทคโนโลยี รวมถึงการลดภาระภาษีไฟฟ้าและค่าธรรมเนียมสำหรับบริษัท แสดงให้เห็นว่ารัฐบาลตระหนักถึงต้นทุนพลังงานที่สูง ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่บั่นทอนความสามารถในการแข่งขันของภาคอุตสาหกรรมเยอรมนี

 แม้เยอรมนีจะยอมรับปัญหา แต่ท่านนสยกก็กล่าวว่า ปัญหาที่เยอรมนีสามารถแก้ไขได้ด้วยความพยายามของเยอรมนีเอง ซึ่งเป็นการสร้างกำลังใจและกระตุ้นให้ทุกภาคส่วนร่วมมือกัน "กล้าที่จะเริ่มต้นใหม่" (Dare to make a new start) ซึ่งเป็นคำขวัญของงาน ก็สะท้อนถึงเจตคติของการเปลี่ยนแปลงและมุ่งไปข้างหน้า

ณัฐพล จารัตน์

กรุงเบอร์ลิน เยอรมนี

#นวัตกรรมเยอรมัน #เยอรมนี #เยอรมัน

Monday, May 19, 2025

Willy Brandt คือ สัญลักษณ์แห่งสันติภาพและการประสานรอยร้าวในยุคสงครามเย็นของเยอรมนี


เดินจากบ้านเพียง 100 เมตร มุ่งหน้าไปยังสามแยกระหว่างถนน Schloßstraße และ Lepsiusstraße ก็จะพบกับส่วนหนึ่งของกำแพงเบอร์ลินที่ตั้งตระหง่าน พร้อมภาพวาดและป้ายบอกเล่าเรื่องราวของ Willy Brandt ผู้นำเยอรมนีตะวันตกที่มีบทบาทสำคัญในการสร้างสันติภาพและการรวมชาติเยอรมัน

Willy Brandt เกิดเมื่อปี 1913 ที่เมือง Lübeck เขาเติบโตท่ามกลางยุคที่นาซีเรืองอำนาจและต้องลี้ภัยไปยังนอร์เวย์และสวีเดนเพื่อหลบหนีการจับกุม เมื่อสงครามสิ้นสุดลง เขากลับสู่เยอรมนีและก้าวเข้าสู่วงการเมืองอย่างเต็มตัว โดยดำรงตำแหน่งนายกเทศมนตรีกรุงเบอร์ลินและนายกรัฐมนตรีเยอรมนีตะวันกระหว่างปี 1969-1974

สิ่งที่ทำให้ Willy Brandt ได้รับรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพในปี 1971 คือ นโยบาย Ostpolitik (นโยบายตะวันออก) ที่เขาผลักดันอย่างจริงจังเพื่อลดความตึงเครียดจากสงครามเย็นและสร้างความสัมพันธ์กับเยอรมนีตะวันออก หนึ่งในเหตุการณ์สำคัญที่กลายเป็นสัญลักษณ์คือ การคุกเข่าที่ Warsaw Ghetto Memorial ในปี 1970 เพื่อแสดงความเสียใจและขอโทษต่อชาวยิวที่ตกเป็นเหยื่อในยุคนาซี

ฉะนั้น Willy Brandt คือ สัญลักษณ์แห่งสันติภาพและการประสานรอยร้าวในยุคสงครามเย็นของเยอรมนีตะวันตกและตะวันออกครับ

#เยอรมนี

Wednesday, May 14, 2025

Probationary Employees and Their Entitled Rights in Thailand

My Japanese business acquaintance, who was sent by his parent company to work in Thailand, asked me about the rights of Thai employees during their probationary period. I explained it to him based on my experience as a former labor court mediator, as follows:

In the realm of Thai labor law, the term "employee" does not legally distinguish between probationary and permanent staff. Consequently, concerning rights and protections under labor law, probationary employees are considered employees and possess the same rights and obligations as their permanent counterparts. The law explicitly prohibits employers from discriminatory practices against any employee.

To standardize the recruitment process and ensure the selection of qualified individuals, many companies in Thailand implement a probationary period. This allows employees to demonstrate their capabilities, and both parties can agree upon the terms of employment.

Employees undergoing a probationary period hold the legal status of "employees" from their first day of work, entitling them to the same benefits and protections as confirmed staff.

Regarding the duration of the probationary period, Thai law does not stipulate a specific timeframe. Employers have the autonomy to set this duration based on mutual agreement with the employee. This condition can be established before or after the commencement of employment.

Key points concerning probationary employment in Thailand can be summarized as follows:

 >>> Many companies set the probationary period between 90 to 120 days. This period can be extended upon mutual agreement.

>>> During a 120-day probation, employers should conduct formal performance evaluations at least twice, ideally before the 120-day mark.

>>> If the evaluation extends beyond 120 days and the employer terminates the employment without the employee committing any fault as outlined in Section 119 of the Labour Protection Act, the probationary employee is entitled to severance pay equivalent to permanent employees, as per Section 118 of the same Act.

 >>> If a probationary employee works continuously for 120 days but less than one year and is terminated without cause under Section 119, they are entitled to severance pay equal to 30 days' wages at their final rate.

Termination During Probation:

Termination of a probationary employee can occur in two scenarios:

 >>> Termination Without Prior Notice: This applies when the employee commits one of the offenses specified in Section 119 of the Labour Protection Act, such as dishonesty in their duties, intentional actions causing damage to the employer or company, violation of work regulations, absence without justifiable reason for three consecutive working days, gross negligence, or imprisonment by a final court judgment. In such cases, regardless of whether the 120-day probation period has been completed, the employer is not obligated to pay severance pay.

 >>> Termination With Prior Notice: This occurs when the employee fails to meet the performance, qualification, or conduct standards set by the employer. If the employee has worked for less than 120 days, the employer is not required to pay severance pay but must provide advance notice of termination.

Relevant Supreme Court Judgments:

 >>> Supreme Court Judgment No. 2364/2545: The probationary period is considered an employment contract with no fixed term. Therefore, terminating a probationary employee requires advance notice.

 >>> Supreme Court Judgment No. 6796/2546: Employment contracts stating that the employer has the right to terminate the contract at any time during the probation period without stating reasons are contrary to Section 17 of the Labour Protection Act and are not legally binding.

 >>> Specialized Appeal Court for Labour Cases Judgment No. 593/2563: Regarding a "1-year employment contract with a 90-day probation period," if during probation the employee does not dedicate their full working hours, lacks diligence and honesty, and has poor relationships with colleagues, the employer can terminate the employment due to failure to pass probation. This is considered a normal aspect of personnel management where employers have the right to select the most qualified workforce. In such a case, the employee is not entitled to wages for the remainder of the contract or damages from the employer.

This summary provides a comprehensive overview of the rights and protections afforded to probationary employees under Thai labor law.

Monday, May 5, 2025

The Global Journey of Peace: World #PeaceAward 2025 in Stockholm, Sweden

In a world filled with conflict and uncertainty, the pursuit of peace remains one of the most profound missions of our time. This year, you have a unique opportunity to take part in a historic event that brings together spiritual leaders, peace advocates, and global citizens: the World Peace Award 2025, to be held in Stockholm, Sweden from May 24th to 28th, 2025.


This inspiring event will take place at the prestigious Stockholm Concert Hall, the same venue where the Nobel Prizes are awarded—making it a symbol of global unity, wisdom, and goodwill. Hosted by the Wat Buddhapadipa Temple, Sweden, led by Venerable Phra Vites Panyaporn, this event is a celebration of harmony through spirituality, cultural exchange, and shared values of humanity.

Event Highlights:
- World Peace Award Ceremony at Stockholm City Hall and Concert Hall
- International dialogue forums with Buddhist monks, scholars, and peace-builders
- Interfaith gatherings promoting compassion and cooperation
- Cultural performances showcasing global unity

But that’s not all. Attendees are also invited to join a special “Peace & Dhamma Tour” across three Nordic countries—Sweden, Finland, and Denmark—from May 23rd to 31st, 2025. This spiritual-cultural journey will include visits to Thai temples in Europe, scenic Nordic landmarks, and peaceful meditation retreats. You’ll also experience a luxurious cruise while connecting with like-minded peace lovers.

This isn’t just another event. It’s a once-in-a-lifetime opportunity to become a living part of the global peace movement. Whether you’re a spiritual seeker, a humanitarian, or someone simply wishing to contribute to a kinder world—this journey will leave a lasting impact on your heart and mind.

Reserve Your Seat Today:
Website: worldpeacesweden.com
Sweden Contact: +46 738 268999
LINE ID: @worldpeace2020
Thailand Coordinators: Dr. Phongsak (081-320-7723), Khun Lokan (084-166-4050), Khun Phisanu (095-694-7424)

Reference >>> https://t.co/D0Iz4XS1Yq

hashtagpeace hashtagPeaceOfMind hashtagBuddhism hashtagworldpeace hashtagpeacestudies