Search This Blog

Monday, October 20, 2025

สมาคมสนับสนุนภาควิชาประวัติศาสตร์การทหาร มหาวิทยาลัยพอทสดัม (Förderverein des Lehrstuhls für Militärgeschichte an der Universität Potsdam e.V.)

สมาคม Förderverein des Lehrstuhls für Militärgeschichte an der Universität Potsdam e.V. ก่อตั้งขึ้นเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ. 2019 โดยมีเป้าหมายเพื่อสนับสนุนการเรียนการสอนและการวิจัยด้านประวัติศาสตร์การทหารและความรุนแรง (Militär- und Gewaltgeschichte) ที่มหาวิทยาลัยพอทสดัม (Universität Potsdam)


หนึ่งในพันธกิจสำคัญคือการส่งเสริมหลักสูตรปริญญาโทนานาชาติ International War Studies ที่สอนเป็นภาษาอังกฤษ ซึ่งจัดขึ้นร่วมกันระหว่างมหาวิทยาลัยพอทสดัมและ University College Dublin ประเทศไอร์แลนด์ หลักสูตรนี้เป็นหลักสูตร bi-nationale ที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวในระดับโลก มุ่งเน้นให้ความเข้าใจเกี่ยวกับการก่อกำเนิดและการยุติของความขัดแย้งทางทหาร พลวัตของความรุนแรง และความสัมพันธ์ระหว่างทหารกับสังคม

นอกจากการสนับสนุนการเรียนการสอนแล้ว สมาคมยังผลักดัน โครงการและกิจกรรม เพื่อสร้างพื้นที่แลกเปลี่ยนความคิดเห็นระหว่างสังคม เศรษฐกิจ และศาสตร์ด้านมนุษยศาสตร์ ส่งเสริมการบูรณาการองค์ความรู้จากหลายมิติ

คณะกรรมการบริหาร (Vorstand)

  • Prof. Dr. Sönke Neitzel (ประธาน)
    ตั้งแต่ปี 2015 เป็นผู้ดำรงตำแหน่งศาสตราจารย์ประวัติศาสตร์การทหารที่มหาวิทยาลัยพอทสดัม

  • Peter Matteo (รองประธาน)
    กรรมการผู้จัดการ บริษัท Groß und Partner Grundstücksentwicklungsgesellschaft GmbH

  • Rainer Ruff (เหรัญญิก)
    อดีตเลขาธิการ Volksbund Deutsche Kriegsgräberfürsorge และนักกฎหมาย

  • Dr. Alexander Schmidt-Lossberg (เลขานุการ)
    นักกฎหมายจากสำนักงาน SKW Schwarz

การติดต่อ (Kontakt)

Förderverein des Lehrstuhls für Militärgeschichte e.V.
c/o Prof. Dr. Sönke Neitzel
Am Neuen Palais 10
14469 Potsdam
อีเมล: soenke.neitzel@uni-potsdam.de

ลงทะเบียนในทะเบียนสมาคม (Vereinsregister)
ศาล: Amtsgericht Charlottenburg
หมายเลขทะเบียน: VR 37336 B

การสนับสนุนและบริจาค (Spendenkonto)

Badische Beamtenbank

  • IBAN: DE2866 0908 0000 0704 1934

  • BIC: GENODE61BBB

รายละเอียดเพิ่มเติม: www.uni-potsdam.de/de/hi-militaergeschichte/foerderverein









หลักสูตรปริญญาโท สาขา War and Conflict Studies มหาวิทยาลัยพอทสดัม ประเทศเยอรมนี

หลักสูตร War and Conflict Studies ของมหาวิทยาลัยพอทสดัม ประเทศเยอรมนี เป็นหลักสูตรสหวิทยาการที่มุ่งเน้นการทำความเข้าใจสาเหตุ ความเป็นมา บริบท และพลวัตของความขัดแย้งที่ใช้ความรุนแรง ทั้งในระดับชาติและระหว่างประเทศ โดยใช้กรอบแนวคิดจากหลายศาสตร์ ไม่ว่าจะเป็นประวัติศาสตร์การทหาร ประวัติศาสตร์วัฒนธรรมของความรุนแรง สังคมวิทยาการทหาร ตลอดจนวิธีการและทฤษฎีจากสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์

เนื้อหาการเรียน

ผู้เรียนจะได้ศึกษาทั้งสงครามและความขัดแย้งในเชิงลึก ตั้งแต่ยุคใหม่ตอนต้น จนถึงประวัติศาสตร์ร่วมสมัยในศตวรรษที่ 19 และ 20 รวมถึงประเด็นร่วมสมัยในปัจจุบัน หลักสูตรจะช่วยให้ผู้เรียนสามารถวิเคราะห์ทั้งสงครามประวัติศาสตร์และความขัดแย้งปัจจุบันในเชิงซับซ้อน และสามารถใช้ทักษะการวิพากษ์และการนำเสนออย่างมีระบบ

เป้าหมายและเส้นทางอาชีพ

หลักสูตรมุ่งสร้างนักวิเคราะห์ที่มีความรู้รอบด้าน สามารถประเมินและอธิบายความขัดแย้ง รวมถึงอภิปรายผลลัพธ์ทางการเมือง สังคม และวัฒนธรรมได้อย่างมีเหตุผล ผู้สำเร็จการศึกษาจะมีโอกาสทำงานในสายวิชาการ สื่อสารมวลชน งานเชิงนโยบาย หน่วยงานราชการ องค์กรระหว่างประเทศ Think Tank พิพิธภัณฑ์ มูลนิธิ การเผยแพร่วัฒนธรรม รวมถึงองค์กรพัฒนาเอกชน (NGOs)

การวิจัยและการฝึกงาน

มหาวิทยาลัยพอทสดัมมีเครือข่ายความร่วมมือที่กว้างขวางกับสถาบันวิชาการและการเมือง เช่น ศูนย์ประวัติศาสตร์การทหารและสังคมศาสตร์กองทัพบุนเดสเวร์ (ZMSBw) กระทรวงกลาโหมเยอรมัน สตูดิโอ ZDF เบอร์ลิน พิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์เยอรมัน (DHM) และสถาบัน International Institute for Strategic Studies (IISS) ที่ลอนดอน รวมถึงการร่วมมือกับฝ่ายประวัติศาสตร์ร่วมสมัยของสื่อเยอรมันรายใหญ่ ทำให้นักศึกษามีโอกาสฝึกงานและสร้างเครือข่ายในระดับสากล

โครงสร้างการเรียน

หลักสูตรมีระยะเวลาเรียน 4 ภาคการศึกษา รวม 120 หน่วยกิต (LP) โดยประกอบด้วย

  • วิชาบังคับ เช่น บทนำ War and Conflict Studies, สังคมและการทหารในยุค “สงครามเบ็ดเสร็จ” (1792–1945), ทฤษฎีและวิธีการ War and Conflict Studies, การฝึกงาน และการสัมมนาสรุป

  • วิชาเลือก เช่น การเมืองด้านความมั่นคง ประวัติศาสตร์ระหว่างประเทศตั้งแต่ศตวรรษที่ 20 ตอนต้น สังคมและการทหารหลัง ค.ศ.1945 ตลอดจนการวิเคราะห์กองกำลังและความมั่นคงเชิงประวัติศาสตร์และสังคมศาสตร์

  • วิทยานิพนธ์ปริญญาโท (Masterarbeit)

คุณสมบัติผู้สมัคร

ผู้สนใจต้องสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรีหรือเทียบเท่าในสาขาที่เกี่ยวข้อง เช่น ประวัติศาสตร์ รัฐศาสตร์ หรือสังคมวิทยา และมีหน่วยกิตด้านประวัติศาสตร์หรือสังคมศาสตร์อย่างน้อย 40 หน่วยกิต รวมถึงต้องมีทักษะภาษาอังกฤษในระดับ B2 ตามมาตรฐาน CEFR

การสมัครและการติดต่อ

การสมัครเรียนสามารถทำได้ในภาคการศึกษาฤดูหนาวเท่านั้น ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับการสมัคร การให้คำปรึกษา และรายละเอียดหลักสูตร สามารถดูได้ที่เว็บไซต์ของมหาวิทยาลัย:
🌐 www.warandconflictstudies.de

ติดต่อสอบถาม:









ณัฐพล จารัตน์

เบอร์ลิน

20.10.2568

ฤดูใบไม้ร่วง อุณหภูมิ 6 องศา









Thursday, October 16, 2025

คำปราศรัยและเสวนาของ Dr.Johann Wadephul รมว.กต.เยอรมัน ในโอกาสครบรอบ 40 ปีการก่อตั้งศูนย์เยอรมัน-ญี่ปุ่น กรุงเบอร์ลิน (Japanisch-Deutsches Zentrum Berlin:JDZB)

เยอรมันและญี่ปุ่น - หุ้นส่วนระดับพรีเมียมเพื่อเสรีภาพ ความมั่นคง และความมั่งคั่ง (Deutschland und Japan - Premiumpartner für Freiheit, Sicherheit und Wohlstand)

ผมได้เข้าร่วมฟังคำปราศรัยและเสวนาของ Dr.Johann Wadephul รมว.กต.เยอรมัน ในโอกาสครบรอบ 40 ปีการก่อตั้งศูนย์เยอรมัน-ญี่ปุ่น กรุงเบอร์ลิน (Japanisch-Deutsches Zentrum Berlin:JDZB) จัดขึ้นที่ Japanisch-Deutsches Zentrum กรุงเบอร์ลิน เมื่อวันที่ 14 ตุลาคม 2568

ท่าน รมว.กต. ได้กล่าวปราศรัยอย่างเป็นกันเองกับผู้ร่วมงาน ซึ่งเป็นตัวแทนสถานเอกอัครราชทูตต่าง ๆ ในเยอรมนี นักการเมือง สื่อเยอรมนีและญี่ปุ่น เข้าร่วมฟังด้วย 

ผมแบ่งเป็น 4 ประเด็น คือ

ประเด็นที่ 1. ความสัมพันธ์ทวิภาคีระหว่างเยอรมัน-ญี่ปุ่น และข้อคิดเห็นจากการเดินทางเยือนญี่ปุ่นครั้งล่าสุดของท่าน รมว.กต.

ความสัมพันธ์ระหว่างเยอรมนีและญี่ปุ่นถือเป็นหนึ่งในความสัมพันธ์ทวิภาคีที่มีรากฐานมั่นคงและยืนยาว และปฏิเสธไม่ได้เลยว่าทั้งสองประเทศไม่เพียงแต่เป็นมิตรที่ดีต่อกัน แต่ยังเป็นพันธมิตรเชิงยุทธศาสตร์ที่มีความหมายในระดับโลก คำปราศรัยท่านได้สะท้อนให้เห็นถึงความต่อเนื่องและความสำคัญของความสัมพันธ์นี้อย่างเด่นชัด และกล่าวยกย่องบทบาทของ JDZB ที่เป็นสะพานเชื่อมระหว่างประชาชนยุโรปกับโลกตะวันออก โดยเฉพาะญี่ปุ่น ทั้งในด้านภาษา วัฒนธรรม วิทยาศาสตร์ และการแลกเปลี่ยนทางสังคมมาโดยตลอด นอกจากนี้ ท่านยังได้แบ่งปันความประทับใจเล่าถึงการเดินทางเยือนญี่ปุ่นอย่างเป็นทางการครั้งล่าสุด โดยยกตัวอย่างระบบรถไฟชินคันเซ็นจากโตเกียวไปโอซาก้า ที่เป็นสัญลักษณ์ของนวัตกรรมและประสิทธิภาพของญี่ปุ่น เป็นสิ่งที่เยอรมนีสามารถเรียนรู้และรับแรงบันดาลใจต่อยอดได้ การเยือนญี่ปุ่นครั้งนี้ไม่ได้เป็นเพียงการทูตเชิงสัญลักษณ์ แต่เป็นการรับรู้ถึงศักยภาพและบทเรียนที่สามารถนำมาปรับใช้จริงในเยอรมนี จุดสำคัญของหัวข้อในวันนี้ คือการยกระดับความสัมพันธ์ของทั้งสองประเทศด้วยคำว่า "Premiumpartner" (Premium Partner) หรือหุ้นส่วนระดับพรีเมียม ที่ก้าวข้ามความร่วมมือทั่วไปไปสู่การเป็นพันธมิตรเชิงกลยุทธ์และนวัตกรรมเน้นความสำคัญเชิงกลยุทธ์และสิทธิพิเศษที่ได้รับ

ประเด็นที่ 2. ค่านิยมและผลประโยชน์ร่วมกันในยุโรปและเอเชียตะวันออก

ตามคำปราศรัยเข้าใจได้ว่า เยอรมนีและญี่ปุ่นมีค่านิยมที่คล้ายคลึงกันมาก ทั้งสองประเทศยืนหยัดเพื่อประชาธิปไตย เสรีภาพ สิทธิมนุษยชน และการเคารพกฎหมายระหว่างประเทศ ทั้งสองประเทศเป็นประเทศอุตสาหกรรมและผู้ส่งออกที่มีบทบาทสำคัญในเศรษฐกิจโลก ผลประโยชน์ร่วมกันที่สำคัญ คือ การรักษาความมั่นคงของเส้นทางการค้าทางทะเลและการคงอยู่ของระเบียบเศรษฐกิจที่เป็นธรรมและมีเสถียรภาพในโลกปัจจุบัน โดยเแฑาะการค้าเสรีที่เป็นธรรมจะสร้างความมั่งคั่งให้แก่ทุกฝ่าย และสร้างความเจริญก้าวหน้าขึ้นได้จากการร่วมมือกัน รวมถึง ความมั่นคงของยุโรปและเอเชียตะวันออกไม่ได้แยกออกจากกันโดยสิ้นเชิง หากแต่เชื่อมโยงกันอย่างแนบแน่น สงครามรัสเซียกับยูเครนที่เกิดขึ้นในยุโรปส่งผลสะเทือนถึงเอเชียตะวันออก เพราะจีนและเกาหลีเหนือเป็นผู้สนับสนุนฝ่ายรัสเซีย ขณะเดียวกัน ความไม่มั่นคงในเอเชียตะวันออกก็ส่งผลต่อยุโรปผ่านเส้นทางการค้าและภูมิรัฐศาสตร์ จึงเป็นเหตุผลที่สองภูมิภาค คือ ยุโรปและเอเชียตะวันออก (เยอรมนีและญี่ปุ่น) นี้ต้องเผชิญชะตากรรมร่วมกัน และจำเป็นต้องร่วมมือกันอย่างใกล้ชิด

ประเด็นที่ 3.ความมั่นคงในภูมิภาคอินโดแปซิฟิก และความมั่นคงทางเศรษฐกิจ

ท่านเน้นย้ำถึงความมั่นคงหลายครั้งในคำปราศรัย ท่านได้หยิบยกกรณีของภูมิภาคอินโดแปซิฟิกขึ้นมาให้เห็นชัดเจนว่าเป็นภูมิภาคยุทธศาสตร์ที่มีความสำคัญไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ายุโรป ฉะนั้น เยอรมนีต้องตระหนักว่าการคงอยู่ของเสรีภาพในเส้นทางเดินเรือและการปกป้องกฎหมายระหว่างประเทศจำเป็นต้องได้รับการสนับสนุนอย่างเป็นรูปธรรมยิ่วไปกว่านั้น การที่เยอรมนีส่งกองทัพเรือและกองทัพอากาศเยอรมันไปปฏิบัติภารกิจในภูมิภาคอินโดแปซิฟิกจึงเป็นสัญลักษณ์และการยืนยันพันธกรณีที่แท้จริง การฝึกร่วมกับญี่ปุ่น เช่น การมาเยือนของเครื่องบิน F-15 จากญี่ปุ่น ที่เมือง Rostock ของเยอรมนี ได้สะท้อนการร่วมมือด้านความมั่นคงที่แน่นแฟ้นยิ่งขึ้นระหว่างทั้งสองประเทศ

ขณะเดียวกัน ความมั่นคงทางเศรษฐกิจของประเทศต่าง ๆ กำลังถูกใช้เป็นเครื่องมือบีบบังคับทางการเมืองระหว่างประเทศ ความขัดแย้งทางทหารก็ส่งผลกระทบต่อเส้นทางการค้า ดังนั้นการลดการพึ่งพาที่สำคัญ (Critical Dependencies) และการกระจายทางเศรษฐกิจ (Diversification) จึงเป็นวาระร่วมของเยอรมนีและญี่ปุ่น โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมเชิงยุทธศาสตร์ เช่น เซมิคอนดักเตอร์และระบบโทรคมนาคมที่ปลอดภัย ญี่ปุ่นก้าวหน้ากว่าเยอรมนี ดังนั้น การสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจร่วมกันจึงเป็นเป้าหมายสำคัญของความร่วมมือทวิภาคี

ประเด็นที่ 4. บทบาทของทั้งสองประเทศในการเสริมสร้างระเบียบโลกที่ตั้งอยู่บนกฎเกณฑ์

บทบาทของเยอรมนีและญี่ปุ่นในฐานะผู้พิทักษ์ระเบียบโลกที่ตั้งอยู่บนกฎเกณฑ์และข้อตกลง ทั้งเยอรมนีและญี่ปุ่นกำลังเผชิญกับความท้าทายจากมหาอำนาจที่พยายามใช้อำนาจและกำลังทหารเพื่อเขียนกติกาใหม่ ทั้งจากรัสเซียในยุโรป และจากจีนหรือเกาหลีเหนือในเอเชียตะวันออก บทบาทของเยอรมนีและญี่ปุ่นจะต้องไม่เพียงร่วมมือกันในระดับรัฐบาล แต่ยังต้องเสริมสร้างความสัมพันธ์ในระดับประชาชนและสังคม เพื่อสร้างความเข้าใจ ความไว้วางใจ และความผูกพันที่ยั่งยืน ยกตัวอย่าง ศูนย์ JDZB เป็นตัวอย่างของการสร้างสะพานเชื่อมทางสังคมวัฒนธรรมซึ่งมีค่าเทียบเท่ากับการทูตและความร่วมมือทางการเมืองระหว่างสองประเทศ ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อทั้งสองประเทศยกระดับตัวเองเป็นหุ้นส่วนระดับพรีเมียมของโลกเสรีประชาธิปไตย ที่พร้อมจะร่วมมือกันเพื่อเสริมสร้างเสถียรภาพ ความมั่นคง และความมั่งคั่งบนพื้นฐานของกฎเกณฑ์สากล 

ในช่วงท้ายท่านได้กล่าวอย่างมีนัยะสรุปได้ว่า เยอรมนีและญี่ปุ่นไม่ได้ยืนยันร่วมกันในฐานะนักดับเพลิง (น่าจะหมายถึง พันธมิตรที่ถูกเรียกใช้ในยาวมีอันตราย) แต่ทั้งสองประเทศเป็นเพื่อนที่มีมิตรภาพที่ยั่งยืนและใกล้ชิดทั้งยามสุขและทุกข์

โดโมะ อาริกาโตะ โกะซัยมัส! ดังเคอร์!

16.10.2568

กรุงเบอร์ลิน

วิเคราะห์จากคำปราศรัยของท่านจากลิ้งก์นี้นะครับ

https://www.auswaertiges-amt.de/de/newsroom/wadephul-jdzb-2739728