การเข้าสู่ประชาคมอาเซียน (ASEAN community) อย่างเป็นทางการของประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เริ่มนับถอยหลังไปเหลืออีกไม่ถึง 1 ปี ความเปลี่ยนแปลงต่าง ในภูมิภาคคงไม่ได้เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างฉับพลับ หรือจะทำให้เกิดความวุ่นวายจากกฎระเบียบที่เราต้องใช้ร่วมกับกับชาติอาเซียนอื่น ๆ อันที่จริงความเป็นอาเซียน หรือความร่วมมือต่าง ๆ ของอาเซียนได้เริ่มมานานแล้วตั้งแต่มีการเปิดการค้าเสรีอาเซียน (AFTA) เมื่อวันที่ 28 มกราคม 1992 เป็นต้นมาและพัฒนามาเป็นประชาคนอาเซียน สิ่งหนึ่งที่ผู้เขียนอยากเล่าให้ผู้อ่านได้รับทราบ เป็นเรื่องของ “ภาษาอังกฤษ” อันเป็นภาษาราชการอาเซียน ตามที่บัญญัติใน กฎบัตรอาเซียน (ASEAN Charter) ข้อ 34 ว่า “The Working language of ASEAN shall be English” ซึ่งเป็นที่แน่นอนแล้วว่า “ภาษาอังกฤษ” ย่อมมีบทบาทในทุกมิติในอาเซียน อย่างไรก็ตาม “ภาษาอังกฤษของเราพร้อมแล้วหรือยัง” สำหรับอนาคตในอาเซียน นี่เป็นคำถามที่ชวนให้คิดและพิจารณา
ผมมีความคิดเห็นว่า
การศึกษาภาษาอังกฤษหรือการแตกตื่นการเรียนภาษาอังกฤษในประเทศไทย ณ ขณะนี้
เหมือนการแตกตื่นการเรียนภาษาอังกฤษของคนสิงคโปร์ ราวปี 1967 ซึ่งในยุคนั้นคนสิงคโปร์ที่พูดภาษาอังกฤษได้มีน้อยมาก
รุ่นพ่อแม่หรือปู่ย่าตายายสมัยนั้นพูดภาษาจีนและมาเลย์
ส่วนลูกหลานเพิ่งจะเริ่มส่งเรียนภาษาอังกฤษทั้งในโรงเรียนและในโบสถ์
ยิ่งกว่านั้นรัฐบาลส่งเสริมให้ทุกคนเรียนภาษาอังกฤษด้วยการเปิดหลักสูตรต่าง ๆ
เรียนเป็นภาษาอังกฤษ
การที่สิงคโปร์กำหนดให้ภาษาอังกฤษเป็นภาษากลางในการสื่อสารพื้นฐานของประเทศ
มีเหตุผลว่าเพื่อมิให้เกิดความเหลื่อมล้ำเอนเอียงให้ความสำคัญแก่ชาติพันธุ์ใดชาติพันธุ์หนึ่ง
กล่าวคือ หากจะกำหนดภาษาจีนให้ทุกเชื้อชาติเรียนทั้งหมด ย่อมทำให้ชาวมาเลย์
ชาวอินเดีย ชาวทมิฬ ที่เป็นพลเมืองส่วนหนึ่งของประเทศไม่พอใจ หรือแม้จะให้ภาษาจีนบังคับให้ทุกคนเรียน
จะดูเป็นการให้ความสำคัญแก่คนจีนเพียงอย่างเดียว
ดังนั้นภาษาอังกฤษจึงเป็นภาษากลางที่จะลดแรงกระทบทางเชื้อชาติและวัฒนธรรมของคนสิงคโปร์ได้
และทำให้พลเมืองไม่ต้องเสียเวลาไปเรียนทุกภาษาของทุกเชื้อชาติในสิงคโปร์
แม้จะมีการกล่าวว่า สิงคโปร์เป็นอาณานิคมของอังกฤษมาก่อน คนจึงพูดภาษาอังกฤษได้
ซึ่งความเป็นจริงแล้วในยุคอาณานิคม ชาวสิงคโปร์ไม่โดนถูกบังคับให้เรียนภาษาอังกฤษ
ในทางกลับกันชาวสิงคโปร์เรียนภาษาอังกฤษ เพราะมองเห็นแล้วว่า หากพูดภาษาอังกฤษได้ย่อมหางานทำได้
ค้าขายกับต่างประเทศได้ สามารถศึกษาหาความรู้ได้อย่างกว้างขวาง
ยกระดับฐานะทางสังคมได้ และไม่ทำให้เกิดข้อพิพาทระหว่างเชื้อชาติ นับจากปี 1967 ที่เด็กตัวเล็ก ๆ ชาวสิงคโปร์เริ่มเรียนภาษาอังกฤษ
จนกระทั้งปัจจุบันนับเป็นเวลาเกือบ 50 ปี เด็กเหล่านั้นกลายเป็นผู้ใหญ่ที่พูดภาษาอังกฤษได้เป็นอย่างดี
และแน่นอนว่าชาวสิงคโปร์ที่เกิดในยุคหลังย่อมมีทักษะภาษาอังกฤษดีมากยิ่งขึ้นเช่นเดียวกัน
หรืออาจเทียบได้กับประเทศที่พูดภาษาอังกฤษเป็นภาษาแม่ (mother
tongue)
สำหรับประเทศที่ไม่ใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาราชการ
อย่างเช่นประเทศไทย ปัจจุบันทุกคนกำลังเร่งเรียนภาษาอังกฤษกันอย่างจ้าละหวั่น
ในอดีตคนที่พูดภาษาอังกฤษได้ ดูเหมือนจะได้รับการยกย่องจากสังคม การพูดภาษาอังกฤษดูเหมือนจะกระจุกเพียงในเมืองหลวงและเมืองท่องเที่ยวเท่านั้น
เช่น พัทยา ภูเก็ต เป็นต้น อีกทั้งการพูดภาษาอังกฤษได้นั้นเป็นดุจความสามรถพิเศษที่ยากจะมีใครทำได้
แต่นับจากนี้ไปผลจากโลกาภิวัตน์และการเกิดประชาคมอาเซียนกำลังทลายความคิดแบบมายาคติเหล่านั้น
และกำลังจะทำให้ความสามรถในการพูดภาษาอังกฤษเป็นเพียงทักษะสามัญที่พลเมืองอาเซียนต้องทำได้ไม่แตกต่างกันอีกต่อไป
แม้ว่าทักษะการพูดภาษาอังกฤษจะไม่สามารถพัฒนาให้เก่งอย่างก้าวกระโดดในทันทีทันใด
แต่เชื่อได้เลยว่า ต่อไปหากใครยังพูดภาษาอังกฤษไม่ได้ย่อมกลายเป็นเกาะดำอย่างแน่นอน
โดย ณัฐพล จารัตน์
เขียนไว้เมื่อ 21 ธันวาคม 2557