Search This Blog

Showing posts with label การพังทลายของกำแพงเบอร์ลิน. Show all posts
Showing posts with label การพังทลายของกำแพงเบอร์ลิน. Show all posts

Monday, November 10, 2025

เมื่อกำแพงเบอร์ลินพังทลาย: ครบรอบ 36 ปี จุดสิ้นสุดของสัญลักษณ์แห่งการแบ่งแยกของเยอรมนี

กำแพงเบอร์ลินนะครับผม”

😃 เมื่อกำแพงเบอร์ลินพังทลาย: ครบรอบ 36 ปี จุดสิ้นสุดของสัญลักษณ์แห่งการแบ่งแยกของเยอรมนี

ทุกวันที่ 9 พฤศจิกายน ของทุกปี นับตั้งแต่วันที่ 9 พฤศจิกายน 1989 (พ.ศ.2532) “กำแพงเบอร์ลิน” ม่านกำแพงคอนกรีตเครื่องหมายแห่งความแตกแยกและสงครามเย็นระหว่างเยอรมันตะวันตกและเยอรมันตะวันออก พังทลายลงด้วยน้ำมือของประชาชนชาวเยอรมันจากทั้งสองฝั่งที่ปรารถนาในอิสรภาพและความเป็นหนึ่งเดียว กลายเป็นการล่มสลายของยุคสมัยแห่งการแบ่งขั้วอุดมการณ์ทางการเมืองที่ดำรงมายาวนานเกือบสามทศวรรษ

😀 กำแพงเบอร์ลินในจินตนาการ

อันที่จริง ผมเป็นคนหนึ่งที่เข้าใจว่ากำแพงเบอร์ลินเป็นสถาปัตยกรรมเหมือนกำแพงเมืองจีนอันหยิ่งใหญ่  ผมรู้จักกำแพงเบอร์ลินครั้งแรกจากหนังสือเรียนสมัยมัธยมและครั้งที่ต่อมาตอนเรียนวิชา German culture สมัยเรียนที่ ม.อ.ปัตตานี ผมจึงจินตนาการว่ากำแพงเบอร์ลินเป็นสิ่งก่อสร้างขนาดมหึมาดังป้อมปราการกันข้าศึกสงคราม แต่แท้จริงแล้ว กำแพงแห่งนี้มีความหมายเชิงประวัติศาสตร์และการเมืองอันมหาศาล สร้างขึ้นเป็นแนวคอนกรีตเสริมเหล็กธรรมดา ๆ หรือจะบอกว่าเหมือนกำแพงคุกขังนักโทษและรายล้อมด้วยทหารอาวุธสงครามครบมือ คุ้มกันเข้มงวด เสริมลวดหนาม และหอสังเกตการณ์  กำแพงเบอร์ลินจึงเป็นเครื่องมือแห่งอุดมการณ์มากกว่าเป็นสิ่งก่อสร้างทั่วไปครับ รู้ไหมครับว่าคนไทยที่มาเที่ยวเบอร์ลินอยากจะเห็นกำแพงเบอร์ลินที่สุดและมักจะวาดความคิดว่ากำแพงเบอร์ลินเหมือนกำแพงเมืองจีน

สำหรับเยอรมนีตะวันออก (East Germany) หรือเขตที่ควบคุมด้วยสหภาพโซเวียต (ปัจจุบันล่มสลายไปแล้ว)กำแพงนี้คือกำแพงกักขังประชาชนในระบอบคอมมิวนิสต์ เพื่อป้องกันไม่ให้แรงงานและปัญญาชนหลบหนีออกนอกประเทศ ขณะเดียวกัน เยอรมนีตะวันตก (West Germany) มองกำแพงเบอร์ลินเป็นสัญลักษณ์แห่งการกดขี่ ถ้าย้อนกลับไปดูกำเนิดของกำแพงเบอร์ลินหรือเจ้าม่านกำแพงคอนกรีตเสริมเหล็กนี้ถือกำเนิดขึ้นในคืนวันที่ 13 สิงหาคม 1961 (พ.ศ.2504) ภายใต้คำสั่งของรัฐบาลเยอรมนีตะวันออกเพื่อหยุดยั้งการหลบหนีของพลเมืองจากฝั่งตะวันออกที่กล่าวกันว่ามีความยากจนและขาดเสรีภาพ ไปยังฝั่งตะวันตกที่มั่งคั่งกว่า

โครงสร้างคอนกรีตสูงกว่า 2.5 เมตร ยาว 155 กิโลเมตร พร้อมลวดหนามและหอสังเกตการณ์ได้กลายเป็นเครื่องตัดขาดผู้คน ครอบครัว และเพื่อนร่วมชาติออกจากกันอย่างสิ้นเชิง ตลอดระยะเวลา 28 ปี มีผู้คนจำนวนมากเสี่ยงชีวิต ตาย บาดเจ็บเพื่อหลบหนี และหลายคนไม่เคยข้ามกำแพงนั้นไปได้เลยด้วยซ้ำครับ

😃 พลังแห่งประชาชนและการล่มสลาย
ในช่วงปลายคริสต์ทศวรรษ 1980 (ประมาณช่วง พ.ศ.2529) กระแสเรียกร้องประชาธิปไตยในเยอรมนีตะวันออกได้ปะทุขึ้นทั่วประเทศ กระทั่งในค่ำวันที่ 9 พฤศจิกายน 1989 (พ.ศ.2532) ด้วยความโก๊ะหรือผิดพลาดอย่างไม่ตั้งใจ เจ้าหน้าที่ของรัฐบาลเยอรมนีตะวันออกแถลงข่าวโดยบังเอิญว่า จะอนุญาตให้ประชาชนเดินทางข้ามพรมแดนได้อย่างเสรีทันที ผู้คนได้ข่าวจึงหลั่งไหลสู่จุดตรวจชายแดน (Checkpoint) อย่างล้นหลาม เมื่อต้องเผชิญกับมวลชนที่มายืนอย่างสงบ ทหารรักษาการณ์ตัดสินใจเปิดประตูพรมแดน ประชาชนจากทั้งสองฝั่งโผเข้ากอดกันและช่วยกันทุบทำลายกำแพงเบอร์ลิน เป็นสัญลักษณ์ของชัยชนะแห่งเสรีภาพ ขณะปีนป่านและทุบลำลายกำแพงเบอร์ลิน พร้อมเสียงตะโกนก้องกัมปนาทว่า

“Wir sind das Volk!” พวกเราคือประชาชน
“Wie sind frei!” พวกเราเป็นอิสระ
“Wir haben die Mauer zerbrochen” พวกเราพังกำแพงเบอร์ลินแล้ว

ส่วนเพลงสากลดัง ๆ ที่กล่าวถึงกำแพงเบอร์ลินคงไม่ใช่เพลงไหน นั่นคือ Wind of Change ของวง Scorpians แม้จะดังขึ้นมากหลังจากเหตุการณ์นี้ในชั่วเวลาสั้น ๆ

แม้ปัจจุบันกำแพงเบอร์ลินพังทลายลงไปและเหลือเพียงซากแห่งความรำลึก (Erinnerungskultur) ที่เจ็บปวดในหน้าประวัติศาสตร์แห่งชาติเยอรมนี ประชาชนจึงเรียนรู้เพื่อไม่ให้กำแพงเบอร์ลินเกิดขึ้นได้อีก ส่วนที่เหลือของกำแพงเบอร์ลินบางจุดที่เคยเกิดเหตุการณ์สำคัญถูกรักษาไว้เป็นอนุสรณ์สถาน เพื่อเตือนให้คนรุ่นหลังตระหนักถึงราคาของการแบ่งแยก และคุณค่าของเสรีภาพที่ประชาชนต้องร่วมกันสร้างและปกปักรักษา

เศษชิ้นส่วนถูกนำไปทำเป็นของที่ระลึกวางจำหน่ายตามร้านขายของที่ระลึกทั่วกรุงเบอร์ลิน ซึ่งเศษชิ้นส่วนเหล่านี้ได้รับการลงทะเบียนจากองค์กรทางศิลปะของเยอรมนี

สิ่งที่ผมยังได้ยินเสมอจากเพื่อนชาวเยอรมันเกิดและเติมโตจากฝั่งเยอรมันตะวันออกหรือแม้แต่ข่าวในโทรทัศน์ พวกเขายังพูดถึงทัศนคติและอุดมการณ์หรือคุณค่าทางการเมืองที่ต่างกัน ความคิดพื้นฐานและการปลูกฝังแนวการใช้ชีวิตก็ยังมีจุดแตกต่างกันเล็กน้อย แต่พื้นฐานที่ทำให้คนเยอรมันไม่ต่างกัน คือ การอยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญและกฎหมายตามหลักนิติรัฐ จึงเป็นเรื่องที่ควรศึกษาและเรียนรู้เพื่อปรับเปลี่ยนให้เหมาะสมกับสภาพสังคมและวัฒนธรรม

ณัฐพล จารัตน์

ถนน Forststraße เขต Steglitz กรุงเบอร์ลิน 

10.11.2568

#ภาพถ่ายทั้งหมดเป็นภาพที่ถ่ายด้วยตนเอง