Search This Blog

Showing posts with label เบอร์ลิน. Show all posts
Showing posts with label เบอร์ลิน. Show all posts

Monday, December 9, 2024

ซานต้าคลอสคัมมิ่งทูเบอร์ลิน

อากาศหนาวเย็นของช่วงค่ำวันที่ 8 ธันวาคม 2567 ผมอยู่ที่ตลาดคริสมาส หรือภาษาเยอรมันเขาเรียกว่า Weihnachtsmarkt ณ ลาน Alexanderplatz กรุงเบอร์ลิน 
อุณหภูมิราว ๆ 2-3 องศาเซลเซียสเท่านั้น แต่ยังไม่มีหิมะเหมือนเช่นปีที่แล้วในช่วงเดียวกัน

ตั้งแต่เด็กที่ได้เห็นคุณลุงซานต้านั่งรถลาก ใช้กวางเรนเดียลาก มันเหมือนนิทานที่ไม่น่ามีจริง กระทั่งมาอยู่เยอรมัน บรรยากาศและความรู้สึกว่าไม่มีจริงกลับย้อนมาตอบความสงสัยว่า ซานตาคลอสคัมมิ่งทูทาวน์แล้วนะ (Santa Claus is coming to town) เสียงเพลงของ Mariah Carey ดึงกึงก้องไปทั่วกรุงเบอร์ลิน หรือจะได้ยินไปทั่วโลกในเดือนนี้

Sunday, March 3, 2024

อนุรักษ์สถานที่ที่มีความสำคัญในกรุงเบอร์ลิน เช่น บ้าน Das Haus Niedstraße 30, 1882 von J. Mehme

บ้านด้านหลังของผมนี้ เรียกว่า
Das Haus Niedstraße 30, 1882 von J. Mehme หรือบ้านเลขที่ 30 ถนนนีดสตราสเซอร์ ของ ยอร์ท เมห์เมอ สร้างเมื่อปี ค.ศ. 1882

เมื่อวันก่อนไปทานดินเนอร์กับพี่ ๆ น้อง ๆ ที่สุรินทร์ เป็นร้านอาหารไทยไม่ไกลจากบ้านมากนัก ได้ที่จอดรถรินถนนหน้าบ้านหลังนี้ เห็นว่าสวยดีจึงให้น้องสาวช่วยถ่ายภาพให้
พอกลับมาค้นข้อมูลเพิ่มเติมได้ความรู้ว่า บ้าน ตึกหรืออาคารจำนวนมากในกรุงเบอร์ลินเป็นสถาปัตยกรรมที่ขึ้นทะเบียนเพื่อการอนุรักษ์ ได้รับการดูแลโดย Landesdenkmalamt หรือสำนักงานทรัพย์สินและสถานที่ที่มีความสำคัญในกรุงเบอร์ลิน มีหน้าที่ที่สำคัญในการปกป้องและรักษาบ้าน ตึกหรืออาคาร รวมถึงสิ่งก่อนสร้างที่มีความสำคัญทางประวัติศาสตร์และสถาปัตยกรรมเกี่ยวกับกรุงเบอร์ลิน ด้วยการรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับอาคาร สถานที่และสิ่งก่อสร้างที่มีความสำคัญ นำข้อมูลเก็บรักษาในรูปแบบสามารถเข้าถึงได้ ประกอบด้วยข้อมูลแบบข้อความและรูปภาพ ซึ่งอาคารต่าง ๆ เหล่านี้ถูกสร้างและออกแบบโดยนักสถาปัตย์ที่มีเชื่อเสียงและมีผลงานการออกแบบสิ่งสำคัญในกรุงเบอร์ลิน


บ้าน Das Haus Niedstraße 30, 1882 von J. Mehme เลขทะเบียน 09066259 ตั้งอยู่ในเขต Tempelhof-Schöneberg เป็นสิ่งก่อสร้างประเภทบ้านอยู่อาศัยแนวชนบทเก่าของเบอร์ลิน สร้างเมื่อปี 1882 หรือตรงกับสมัยรัชกาลที่ 5 อายุราว 142 ปี ลักษณะเป็นบ้านในชนบทชั้นเดียวบนและมีชั้นใต้ดินสูง มีหลังคาหลังคาสูงทรงเหลี่ยมลูกบาศก์ ปูด้วยหินชนวนพร้อมหลังคามุงด้วยอิฐ ทางเข้าบ้านเป็นบันไดอยู่ฝั่งถนน ติดกับระเบียงไม้เล็ก ๆ มีระเบียงกระจก ผนังเป็นอาคารอิฐแดง ซึ่งปัจจุบันใช้เบ้านหลังนี้แจ้งว่าใช้เพื่อวัตถุประสงค์ทางการค้า (ศึกษาข้อมูลประกอบจาก https://denkmaldatenbank.berlin.de/daobj.php...)
ทั้งหมดนี้ทำให้เข้าใจได้ว่า อาคารต่าง ๆ ที่ขึ้นทะเบียนแล้ว เพื่อชะลอโอกาสที่จะถูกเปลี่ยนแปลงสภาพทางกายภาพให้สิ้นเชิง แม้ว่าจะเป็นโบราณต้องอนุรักษ์ แต่ส่วนใหญ่ประชาชนสามารถอยู่อาศัยได้ตามปกติ ดังนั้น อาคารเหล่านี้จะยังคงอยู่อีกนานโดยจะถูกเปลี่ยนแปลงน้อยที่สุด ถ้าอีก 20 ข้างหน้ากลับมายืนถ่ายรูปที่หน้าบ้านหลังนี้อีก เดาได้ว่าสภาพจะคงเดิม
อย่างไรก็ตาม ผู้คนที่มีความผูกพันกับอดีตให้การสนับสนุนที่จะดูแลสิ่งก่อสร้างสำคัญเหล่านี้ ในอีกด้านหนึ่งคนรุ่นปัจจุบันมองคุณค่าของการอนุรักษ์สิ่งเหล่านี้ต่างออกไป เนื่องจากการอนุรักษ์ต้องอาศัยงบประมาณจากภาษีและมีค่าใช้จ่ายในการดูแลสูง

ณัฐพล จารัตน์
03.03.2567
เขตสเตกลิทซ์ กรุงเบอร์ลิน
อากาศเริ่มอุ่นวันแรก อุณหภูมิ 6 องศาตั้งแต่เช้า

Wednesday, February 28, 2024

ถึงเบอร์ลินทั้งทีต้องมีภาพคู่กับ "หมีเบอร์ลิน" (BERLIN BEAR)


เบอร์ลิน เรียกได้ว่าเป็น นครแห่งหมี (Berlin, the City of Bear) เมื่อมาถึงเบอร์ลินใหม่ ๆ ไปเดินเล่นที่ไหนจะพบเห็นตุ๊กตาหมีตัวใหญ่เท่าคน ทำท่าทางยืนด้วยสองขาหลัง ส่วนขาหน้าทั้งสองยกชี้ฟ้าประดุจการชูแขนของมนุษย์ ยิ่งไปกว่านั้น แม้กระทั้งภายในบริเวณสถานเอกอัครราชทูตไทย ณ กรุงเบอร์ลิน ยังมีตุ๊กตาพี่หมียืนเด่นเป็นสง่า แขนทั้งสองไม่ได้ยก แต่เปลี่ยนอิริยาบทในท่ายกมือไหว้แบบคนไทย (ดูภาพจากลิ้งก์ https://www.buddy-baer.com/en/ และ https://www.facebook.com/RTEBerlin/photos/a.435706946557416/1337053849756050/?type=3 )

มีหลายเรื่องเล่ากล่าวถึงที่มาของชื่อเมืองเบอร์ลิน (Berlin) ผมขอยกมาเล่าให้ฟัง 3 เรื่อง ซึ่งจริงแท้เพียงไรไม่การันตีครับ

เรื่องแรก เขาเล่าว่า เจ้าเมืองคนแรกผู้ก่อตั้งเมืองเบอร์ลินชื่อ Albrecht der Bär หรือ Albrecht I., Margrave of Brandenburg (แปลว่า "เจ้าชายอัลเบรชต์ผู้มีหนวดเคราเหมือนหมี") เนื่องได้ต่อสู้กับหมีตัวใหญ่ในป่า มีชัยชนะเหนือหมี จึงนำรูปหมีมาเป็นสัญลักษณ์ของความกล้าหาญและพลัง และนำคำว่า Bär เป็นนามสกุลของตน ซึ่งคำว่า Bär เป็นภาษาเยอรมันแปลว่า หมี หรือ Bear  (ข้อมูลประกอบ https://en.wikipedia.org/wiki/Albert_the_Bear)

เรื่องที่สอง เขาเล่าว่า สมัยโบราณเจ้าผู้ครองนครรัฐต่าง ๆ มักจะนำรูปสัตว์เป็นประจำตระกูล เพื่อแสดงถึงอัตลักษณ์ของตนเอง ในบริเวณเบอร์ลินปกครองด้วยตระกูลอาคาเนียน (Ascanian) ปกครองเบอร์ลินในศตวรรษที่ 13 ใช้รูปหมีเป็นตราประจำตระกูล ซึ่งบริเวณนี้เคยหมีสีน้ำตาลอาศัยอยู่ในป่ารอบเมืองเบอร์ลิน (ข้อมูลประกอบ https://wappenwiki.org/index.php/House_of_Ascania)

เรื่องที่สาม เขาเล่าในเชิงภาษาศาสตร์โดยสันนิษฐานว่า Berlin มารากมาจากคำว่า Bär ในภาษาเยอรมัน แปลว่า หมี อาจด้วยความบังเอิญหรือใช้หลักการลากเข้าความหรือเป็นการเล่าเรื่องก็ไม่ทราบแน่ชัด อย่างไรก็ตามครับ นักภาษาศาสตร์มีข้อสันนิษฐานที่ชัดเจนว่า Berlin เป็นคำในภาษาสลาวิคเก่า (Old Slavic language) ซึ่งเป็นภาษาที่ใช้ในแถบโปแลนด์ ยูเครน รัสเซีย เยอรมนี ฮังการี ปัจจุบันไม่มีภาษานี้แล้ว โดยเพี้ยนมาจากคำว่า berl หรือ birl มีความหมายว่า หนองน้ำ ที่ลุ่มน้ำขัง ใช้เรียกบริเวณเมืองเบอร์ลิน ซึ่งเป็นเมืองที่ตั้งอยู่ริมแม่น้ำชแปร (Spree) สมัยโบราณมีน้ำท่วมขังเป็นบริเวณกว้าง (ข้อมูลประกอบ https://berlinhistoricalwalks.com/theorigins-of-berlins-name)

ไม่ว่าพี่หมีจะเกี่ยวข้องหรือไม่เกี่ยวข้องกับที่มาของชื่อเมืองเบอร์ลิน ปัจจุบัน สัญลักษณ์หมีปรากฏในตราสัญลักษณ์และธงประจำเมืองเบอร์ลินมาหลายศตวรรษ  ธงปัจจุบันของเมืองเบอร์ลินได้รับการออกแบบในปี 1936 ธงมีพื้นสีขาว มีรูปหมีสีดำยืนอยู่บนขาหลัง  หมีมีกรงเล็บสีแดง  ลิ้นสีแดงและโล่สีแดงที่มีอักษรสีขาว "Berlin" (ข้อมูลประกอบ https://en.wikipedia.org/wiki/Flag_of_Berlin

พลังของหมีเบอร์ลินเป็นตัวแทนหรือมาสคอทของมหานครแห่งนี้ ที่แขกไปใครมาต้องมีภาพคู่กับพี่หมีเบอร์ลิน



ณัฐพล จารัตน์
28.02.2567
กรุงเบอร์ลิน



Tuesday, February 27, 2024

เดินถ่ายภาพที่ "ประตูบรันเดนบูร์ก" สัญลักษณ์แห่งชัยชนะและความเจริญรุ่งเรืองของเยอรมนี

 


มาอยู่เบอร์ลินจะเกือยปีแล้ว ยังไม่เคยเขียนเกี่ยวกับ "ประตูบรันเดินบูร์ก" (Brandenburg Gate) สักที เมื่อวานมาเดินแถวนี้พอดี ถือโอกาสเล่าถึงสถานที่แห่งนี้คร่าว ๆ ครับผม

"ประตูบรันเดินบูร์ก" (Brandenburg Gate) ถือเป็นสถานที่สำคัญทางประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม การเมือง อีกทั้งเป็นสัญลักษณ์ของชัยชนะ การรวมชาติ สันติภาพ เสรีภาพ และความเป็นหนึ่งเดียวของเยอรมนี

ประตูบรันเดินบวร์กเริ่มก่อสร้างขึ้นในปี 1788 และเสร็จสิ้นปี 1791 (ตรงกับรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช รัชกาลที่ 1) สร้างโดยกษัตริย์ฟรีดริช วิลเฮล์มที่ 2 แห่งปรัสเซีย เป็นการจำลองประตูชัยในกรุงเอเธนส์ ประเทศกรีซ ประตูแห่งนี้เคยเป็นสัญลักษณ์ของชัยชนะของปรัสเซีย และจักรวรรดิเยอรมัน ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ได้รับความเสียหายอย่างหนัก ต่อมาประตูบรันเดินบวร์คก็ได้รับการบูรณะจนเสร็จสิ้นดังในปัจจุบัน (ลิ้งก์ภาพประกอบ https://www.deutsche-digitale-bibliothek.de/item/V5SET6LSCSZUZRIDH5I5DAUJWTKB2SGD)

ประตูบรันเดินบวร์กเป็นสถานที่จัดงานสำคัญ ๆ ของเยอรมนี เช่น งานฉลองวันชาติเยอรมัน และงานเฉลิมฉลองปีใหม่ ยังปรากฏในภาพยนตร์ ละคร และงานศิลปะมากมาย



ประตูบรันเดินบวร์กตั้งอยู่บนถนนอุนเทอร์ เดน ลินเดน (Unter den Linden) ซึ่งเคยเป็นเส้นแบ่งเขตระหว่างเยอรมนีตะวันตกและตะวันออกด้วยกำแพงเบอร์ลิน ต่อมาการพังทลายของกำแพงเบอร์ลินในปี 1989 (พ.ศ.2532) ทำให้ประตูบรันเดินบวร์กกลายเป็นสัญลักษณ์ของสันติภาพและเสรีภาพ ยังเป็นสถานที่รำลึกถึงผู้เสียชีวิตจากการแบ่งแยกเยอรมนี

เมื่อปีที่แล้ว กลุ่ม The Last Generation นักเคลื่อนไหวด้านสภาพอากาศได้พ่นสีส้มและเหลืองบนเสาประตูบรันเดนบูร์ก แสดงการต่อต้านรัฐบาลเชิงสัญลักษณ์ เพื่อผลักดันข้อเรียกร้องให้รัฐบาลหยุดการใช้เชื้อเพลิงฟอสซิลภายในปี 2023 (พ.ศ. 2573) ผลของการกระทำดังกล่าวกลับได้รับเสียงประณามและมีผู้ไม่เห็นด้วยจำนวนมาก รวมถึงกลุ่มคนที่ต่อต้านรัฐบาลก็ไม่เห็นด้วยกับการกระทำนี้ครับ (ลิ้งก์ข่าวประกอบ https://www.posttoday.com/international-news/699607)

ปัจจุบัน ที่นี่เป็นสถานที่ท่องเที่ยว บางท่านถึงกับพูดว่าถ้ามาไม่ถึง "ประตูบรันเดินบูร์ก" ก็เหมือนยังมาไม่ถึงเบอร์ลิน หรือบางท่านก็บอกว่าเหมือนมาไม่ถึงหัวใจเชิงสัญลักษณ์ของเยอรมนีครับผม
 


อ่อ ลืมพูดถึง รูปปั้นเทพีที่อยู่บนประตูบรันเดินบูร์ก คือ เทพีวิคตอเรีย (Victoria) เทพีแห่งชัยชนะตามตำนานเทพปกรณัมโรมัน  เป็นรูปปั้นทองสัมฤทธิ์ ยืนอยู่บนรถม้าศึก 4 ล้อ (The Quadriga) เทพีสวมชุดยาว มือขวาชูพวงหรีด มือซ้ายถือคทา ม้าทั้ง 4 กำลังวิ่งทะยานไปข้างหน้า เป็นสัญลักษณ์ของชัยชนะ ความสำเร็จ และความรุ่งเรือง สื่อถึงความปรารถนาของชาวเยอรมันที่จะมีชัยชนะ และความเจริญรุ่งเรืองครับ ในยุคหนึ่งจักรพรรดินโปเลียนของจักรวรรดิฝรั่งเศส ทรงเคยยึดไปไว้ที่กรุงปารีสหลังจากเอาชนะปรัสเซียในปี 1806 (พ.ศ.2349 หรือสมัยรัชกาลที่ 1 เช่นกันครับ) 10 ปีต่อมา ปรัสเซียได้นำรูปปั้นวิคตอเรียกลับมาประดับบนประตูบรันเดินบูร์กอีกครั้ง จึงสื่อถึงชัยชนะของปรัสเซียเหนือฝรั่งเศสในสงครามนโปเลียน ช่วยให้ปรัสเซียกลายเป็นมหาอำนาจในยุโรป 

อ่อ ลืมพูดถึง รูปปั้นเทพีที่อยู่บนประตูบรันเดินบูร์ก คือ เทพีวิคตอเรีย (Victoria) เทพีแห่งชัยชนะตามตำนานเทพปกรณัมโรมัน  เป็นรูปปั้นทองสัมฤทธิ์ ยืนอยู่บนรถม้าศึก 4 ล้อ (The Quadriga) เทพีสวมชุดยาว มือขวาชูพวงหรีด มือซ้ายถือคทา ม้าทั้ง 4 กำลังวิ่งทะยานไปข้างหน้า เป็นสัญลักษณ์ของชัยชนะ ความสำเร็จ และความรุ่งเรือง สื่อถึงความปรารถนาของชาวเยอรมันที่จะมีชัยชนะ และความเจริญรุ่งเรืองครับ ในยุคหนึ่งจักรพรรดินโปเลียนของจักรวรรดิฝรั่งเศส ทรงเคยยึดไปไว้ที่กรุงปารีสหลังจากเอาชนะปรัสเซียในปี 1806 (พ.ศ.2349 หรือสมัยรัชกาลที่ 1 เช่นกันครับ) 10 ปีต่อมา ปรัสเซียได้นำรูปปั้นวิคตอเรียกลับมาประดับบนประตูบรันเดินบูร์กอีกครั้ง จึงสื่อถึงชัยชนะของปรัสเซียเหนือฝรั่งเศสในสงครามนโปเลียน ช่วยให้ปรัสเซียกลายเป็นมหาอำนาจในยุโรป 



คนเบอร์ลินจึงมองรูปปั้นวิคตอเรียเป็นสัญลักษณ์ของความภาคภูมิใจ และความกล้าหาญ อย่างไรก็ดี ในเชิงสัญลักษณ์ของสันติภาพนั้น เริ่มเปลี่ยนไปหลังจากสงครามโลกครั้งที่ 2 รูปปั้นเทพีวิคตอเรีย กลายเป็นสัญลักษณ์ของสันติภาพและความหวัง มากกว่าจะมองว่าเป็นชัยชนะเหนือการสงคราม ดังนั้น
คนเบอร์ลินหรือคนเยอรมันจึงใคร่ครวญและมองเป็นเครื่องเตือนใจว่า เยอรมันผ่านพ้นช่วงเวลาที่ยากลำบากมาได้ และกำลังมุ่งสู่อนาคตที่ดีกว่าครับผม(ลิ้งก์ข้อมูลประกอบ https://www.berlin.de/sehenswuerdigkeiten/3560266-3558930-brandenburger-tor.html)


เขียนโดย 

ณัฐพล จารัตน์ 

กรุงเบอร์ลิน

27.02.2567

@NattJarat



Sunday, February 4, 2024

เดินไปชมภาพกราฟฟิตี้ที่ดังมากในเบอร์ลินภาพหนึ่ง เป็นภาพเพื่อรำลึกถึง "คาร์โล จูเลียนี" (Carlo Giuliani)

(ภาพนี้ถ่ายโดย ณัฐพล จารัตน์ ด้วย Samsung S22 Ultra เมื่อ 4 ก.พ. 67 ณ กรุงเบอร์ลิน)

03.02.2567 เดินไปชมภาพกราฟฟิตี้ที่ดังมากในเบอร์ลินภาพหนึ่ง เป็นภาพเพื่อรำลึกถึง "คาร์โล จูเลียนี" (Carlo Giuliani) วาดไว้ตรงฝนังกำแพงด้านนอกของอาคาร NY Deutsch Schule ใกล้กับ Marielle-Franco-Platz เขตคร็อยทซ์แบร์ค (Kreuzberg) ของกรุงเบอร์ลิน เขตนี้ถือเป็นต้นกำเนิดของกราฟฟิตี้ที่ใช้ต่อต้านรัฐในยุค 1980 แถวเป็นสวรรค์ของคนรักกราฟฟิตี้ทั่วโลกจะมาชมกัน สายศิลปินแนวต้านรัฐบอกว่าถ้ามาเบอร์ลินแล้วไม่ได้พ่นกราฟฟิตี้ไม่ได้ถ่ายภาพกับกราฟฟิตี้เหมือนมาไม่ถึงเบอร์ลิน..ว่าซ่านน

"คาร์โล จูเลียนี" (Carlo Giuliani) เป็นผู้ประท้วงต่อต้าน globalisation ชาวอิตาลี ถูกยิงเสียชีวิตระหว่างการจลาจลต่อต้านโลกาภิวัตน์นอกการประชุมสุดยอด G8 เมื่อ 20 กรกฎาคม 2001 (2544) ที่เมืองเจนัว ประเทศอิตาลี การเสียชีวิตของคุณคาร์โล สร้างแรงเคลื่อนไหวและเป็นฉนวนในการต่อต้าน globalisation ของผู้รณรงค์ต่อต้านทั่วโลก

กราฟฟิตี้ “กราฟฟิตี้เป็นวัฒนธรรมนอกกระแสที่เปรียบเหมือนสัญลักษณ์ของความเป็นขบถ ราวกับว่ามันก่อให้เกิดความรู้สึกซาบซ่าน เป็นสุข เวลาที่ศิลปินกราฟฟิตี้ได้ท้าทายต่ออำนาจของเจ้าหน้าที่รัฐที่พยายามกีดกันและกำจัดกราฟฟิตี้ให้หมดไป” (https://shortrecap.co/culture/กราฟฟิตี้-graffiti/)

ดร.ณัฐพล จารัตน์

กรุงเบอร์ลิน

03.02.2567

Tuesday, November 28, 2023

เช้าวันแห่งหิมะในกรุงเบอร์ลิน 28 พฤศจิกายน 2566

เช้าวันนี้ เมื่อฉันเปิดหน้าต่างห้องออกไป สิ่งแรกที่พบคือภาพทิวทัศน์สีขาวที่ปกคลุมทุกสิ่งในสายตา หิมะบางเบาที่ตกลงมาในสองวันที่ผ่านมา กลับเพิ่มปริมาณจนกลายเป็นผืนหนาของสีขาวโพลนปกคลุมทั่วพื้นดิน เสียงอันเงียบสงบของเช้าวันที่อุณหภูมิแตะ -2 องศาเซลเซียส ช่วยเสริมให้ทิวทัศน์ของกรุงเบอร์ลินในวันนี้ดูเหมือนหลุดออกมาจากโปสต์การ์ดฤดูหนาว

นี่เป็นครั้งแรกของปีที่หิมะตกอย่างหนาแน่นในกรุงเบอร์ลิน ก่อนหน้านี้เมื่อสองวันก่อน หิมะตกเพียงบาง ๆ พอให้เห็นละอองขาวโปรยปรายบนหลังคาและต้นไม้ แต่เช้าวันนี้ หิมะได้เปลี่ยนพื้นที่ทุกแห่งให้กลายเป็นโลกแห่งความเย็นเยียบและงดงาม บริเวณทางเดินหน้าบ้านและถนนรอบข้างถูกห่อหุ้มด้วยชั้นหิมะสีขาวนุ่มเหมือนผ้าห่มธรรมชาติ ในขณะที่ยอดของต้นไม้ใหญ่ที่เรียงรายสองข้างทาง ก็ดูราวกับถูกตกแต่งด้วยฝุ่นน้ำแข็งที่ระยิบระยับ

เมื่อคืนที่ผ่านมา เป็นวันลอยกระทงที่พวกเราชาวไทยคุ้นเคยกันดี ทว่าความหนาวเย็นของอากาศเบอร์ลินในฤดูหนาวและหิมะที่เริ่มโปรยปราย ทำให้ภาพของลอยกระทงในกรุงเบอร์ลินนั้นแตกต่างจากบรรยากาศริมแม่น้ำที่คุ้นเคยในเมืองไทยอย่างสิ้นเชิง น้ำในลำคลองที่เยอรมันตอนนี้คงเย็นจับขั้วหัวใจ หรืออาจเริ่มกลายเป็นน้ำแข็งบางส่วนไปแล้วด้วยซ้ำ หิมะที่โปรยลงมาในยามค่ำคืนยังคงปกคลุมทุกพื้นที่จนถึงเช้านี้ เติมเต็มความเงียบสงบด้วยกลิ่นอายของฤดูหนาวอย่างแท้จริง

โชคดีที่เมื่อวานนี้ ฉันได้จัดการยืมหนังสือที่ห้องสมุดมาล่วงหน้าแล้ว จึงไม่ต้องออกจากบ้านในเช้าวันที่เย็นยะเยือกนี้ ความคิดที่จะต้องเดินฝ่าลมหนาวและก้าวข้ามหิมะหนาไปยังห้องสมุดในวันนี้ทำให้ฉันอดรู้สึกขอบคุณตัวเองไม่ได้ที่วางแผนล่วงหน้า ความสะดวกสบายในห้องที่อุ่นสบายและมีหนังสือในมือ ดูเหมือนจะเป็นของขวัญเล็ก ๆ ที่ช่วยเติมเต็มความสุขในวันฤดูหนาว

แม้จะเย็นจัด แต่เช้านี้ก็เต็มไปด้วยความงดงาม หิมะที่ทับถมกันบนหลังคาบ้านเรือน และเกล็ดน้ำแข็งที่จับตัวอยู่ตามขอบหน้าต่าง ดูราวกับเป็นงานศิลปะจากธรรมชาติที่แต่งแต้มให้กับเมืองหลวงของเยอรมนี ฉันหยิบกล้องถ่ายรูปออกมาและบันทึกภาพทิวทัศน์สีขาวบริสุทธิ์ไว้เป็นความทรงจำ เสียงหิมะยุบลงเบา ๆ ใต้เท้าเมื่อก้าวออกไปนอกประตู เสียงลมหนาวที่พัดผ่านใบหน้า เป็นเสียงที่สะท้อนถึงฤดูหนาวในเบอร์ลินอย่างแท้จริง

ภาพนี้ไม่เพียงแต่สะท้อนถึงอากาศหนาว แต่ยังสะท้อนถึงความเงียบสงบของเมืองในเช้าวันธรรมดา แม้ว่าจะไม่ใช่ครั้งแรกที่ได้สัมผัสหิมะในฤดูหนาว แต่ความงดงามและความสงบที่แฝงอยู่ในหิมะสีขาวยังคงสร้างความประทับใจในใจทุกครั้ง ฤดูหนาวในกรุงเบอร์ลินอาจหนาวเหน็บสำหรับบางคน แต่ก็เป็นช่วงเวลาที่ธรรมชาติแสดงพลังสร้างสรรค์ออกมาอย่างเต็มที่ ให้เราได้หยุดพักและซึมซับความงดงามของโลกที่แตกต่างออกไปจากฤดูกาลอื่น ๆ

ฉากในเช้าวันนี้จึงเป็นมากกว่าการเริ่มต้นวันใหม่ แต่เป็นการต้อนรับฤดูหนาวอย่างเป็นทางการในปีนี้ วันที่ 28 พฤศจิกายน 2566 จะเป็นวันที่ฉันจดจำไว้ในความทรงจำอีกครั้ง ในฐานะวันที่ฤดูหนาวได้พาฉันกลับเข้าสู่ความเงียบสงบและความงดงามของเมืองใหญ่ที่ปกคลุมด้วยหิมะในเบอร์ลินอย่างสมบูรณ์แบบ (^^)


This morning, when I opened my window, the first thing I saw was a breathtaking view of white snow covering everything in sight. The light snowfall from two days ago had grown into a thick white blanket covering the ground. The quiet sound of this morning, with the temperature at -2°C, enhanced the serene beauty of Berlin, making it look like a scene from a winter postcard.

This was the first significant snowfall of the year in Berlin. Two days earlier, snow had only lightly dusted the rooftops and trees, but today it transformed the city into a world of cold and mesmerizing whiteness. The streets, sidewalks, and rooftops were wrapped in soft layers of snow, while the treetops lining the paths appeared as if sprinkled with glittering frost.

Last night was Loy Krathong, a festival well-known among Thais. However, the freezing weather in Berlin, accompanied by falling snow, created a stark contrast to the familiar image of floating lanterns along rivers in Thailand. The water in German canals must be icy cold now, perhaps even partially frozen. The snow that fell overnight blanketed every surface, painting the city in the quiet stillness of winter.

Fortunately, I had already borrowed books from the library yesterday, saving me from having to brave the cold and wade through the snow this morning. The thought of walking through frosty winds and deep snow to get to the library today made me thankful for my foresight. The warmth of my cozy room, coupled with books in hand, felt like a small gift that made this winter day perfect.

Despite the freezing temperature, this morning was filled with beauty. Snow blanketed the rooftops and frosty patterns adorned the windowpanes, looking like nature's artwork. I grabbed my camera to capture the scene of pure white snow. The soft crunch of snow beneath my feet as I stepped outside and the chill of the wind brushing against my face were unmistakable reminders of winter in Berlin.

This wasn't just another cold day; it was a morning to embrace the season. Though I've experienced snowy winters before, the beauty and calmness of fresh snow never fail to leave a lasting impression. Winter in Berlin may be bitterly cold for some, but it’s also a time when nature showcases its creativity, inviting us to pause and admire its unique charm.

This snowy morning marks the beginning of the winter season in 2023. November 28 will remain a cherished memory as a day when winter enveloped Berlin in its silent and majestic embrace. 


Heute Morgen, als ich das Fenster öffnete, sah ich als erstes eine atemberaubende weiße Schneelandschaft, die alles bedeckte. Der leichte Schneefall von vor zwei Tagen hatte sich in eine dicke weiße Decke verwandelt, die den Boden bedeckte. Die Stille dieses Morgens, bei einer Temperatur von -2°C, verstärkte die friedliche Schönheit Berlins und ließ die Stadt wie eine Szene aus einer Winterpostkarte erscheinen.

Dies war der erste signifikante Schneefall des Jahres in Berlin. Vor zwei Tagen hatte der Schnee nur leicht die Dächer und Bäume bedeckt, doch heute verwandelte er die Stadt in eine kalte, faszinierende Winterwelt. Straßen, Gehwege und Dächer waren mit weichen Schneeschichten bedeckt, während die Baumwipfel entlang der Wege wie mit glitzerndem Frost bestreut wirkten.

Gestern Abend war Loy Krathong, ein Fest, das unter Thais sehr bekannt ist. Doch das kalte Wetter in Berlin, begleitet von fallendem Schnee, war ein starker Kontrast zu den vertrauten Bildern von schwimmenden Laternen auf Flüssen in Thailand. Das Wasser in deutschen Kanälen muss jetzt eisig kalt sein, vielleicht sogar teilweise zugefroren. Der Schnee, der über Nacht gefallen ist, bedeckte jede Oberfläche und malte die Stadt in die stille Ruhe des Winters.

Zum Glück hatte ich gestern bereits Bücher aus der Bibliothek ausgeliehen, sodass ich nicht durch die Kälte und den Schnee laufen musste. Der Gedanke, durch frostigen Wind und tiefen Schnee zur Bibliothek zu gehen, ließ mich dankbar für meine Voraussicht sein. Die Wärme meines gemütlichen Zimmers und die Bücher in meinen Händen fühlten sich wie ein kleines Geschenk an, das diesen Wintertag perfekt machte.

Trotz der eisigen Temperaturen war dieser Morgen voller Schönheit. Schnee bedeckte die Dächer, und frostige Muster schmückten die Fensterscheiben wie Naturkunstwerke. Ich griff nach meiner Kamera, um die reine weiße Schneelandschaft festzuhalten. Das weiche Knirschen des Schnees unter meinen Füßen, als ich nach draußen trat, und die Kälte des Windes, der mein Gesicht streifte, waren unverkennbare Erinnerungen an den Winter in Berlin.

Dies war nicht nur ein weiterer kalter Tag, sondern ein Morgen, um die Jahreszeit willkommen zu heißen. Obwohl ich schon oft schneereiche Winter erlebt habe, hinterlässt die Schönheit und Ruhe des frischen Schnees immer einen bleibenden Eindruck. Der Winter in Berlin mag für manche bitterkalt sein, aber er ist auch eine Zeit, in der die Natur ihre Kreativität zeigt und uns einlädt, innezuhalten und ihren einzigartigen Charme zu bewundern.

Dieser verschneite Morgen markiert den Beginn der Wintersaison 2023. Der 28. November wird eine wertvolle Erinnerung bleiben, ein Tag, an dem der Winter Berlin in seine stille und majestätische Umarmung hüllte.

今朝、窓を開けたとき、最初に目に入ったのは、すべてを覆う真っ白な雪景色でした。二日前の軽い降雪が、地面を覆う厚い白いブランケットに成長していました。気温が**-2℃**のこの朝の静けさは、ベルリンの美しさをさらに引き立て、冬の絵葉書のような光景を作り出していました。

今年初めての本格的な降雪でした。二日前は、雪が屋根や木々をうっすらと覆っただけでしたが、今朝は冷たく魅力的な白い世界に街が変わりました。歩道、道路、屋根は柔らかい雪で覆われ、道の両側に並ぶ木々のてっぺんは、キラキラと輝く霜で飾られているようでした。

昨夜はタイ人に馴染みのあるロイクラトンの日でした。しかし、雪が降り、ベルリンの寒い天気は、タイでの川に浮かぶ灯籠の慣れ親しんだイメージとは大きく異なっていました。ドイツの運河の水は今や凍えるように冷たく、部分的に凍っているかもしれません。一晩中降った雪は、すべての表面を覆い、街を冬の静寂に染め上げました。

幸いなことに、昨日図書館から本を借りておいたので、この冷たい雪の朝に出かける必要はありませんでした。寒風と深い雪をかき分けて図書館に行くことを想像すると、先見の明があった自分に感謝せざるを得ませんでした。暖かく快適な部屋と手元にある本は、この冬の日を完璧にする小さな贈り物のように感じました。

氷点下の気温にもかかわらず、今朝は美しさに満ちていました。雪が屋根を覆い、窓ガラスに氷の模様が描かれ、自然の芸術作品のようでした。私はカメラを手に取り、純白の雪景色を記録しました。外に一歩踏み出すと、雪の柔らかな音と顔をかすめる冷たい風が、ベルリンの冬を感じさせました。

これは単なる寒い日ではなく、冬の到来を歓迎する朝でした。何度も雪の多い冬を経験しましたが、新雪の美しさと静けさはいつも心に残る印象を与えます。ベルリンの冬は一部の人にとって厳しい寒さかもしれませんが、自然がその創造性を発揮し、私たちにその独特の魅力を楽しむよう誘っている時間でもあります。

この雪の朝は、2023年の冬の季節の始まりを告げるものでした。11月28日は、ベルリンが静かで荘厳な冬の抱擁に包まれた日として、私の記憶に残るでしょう。

***รูปภาพเป็นการถ่ายด้วยกล้องมือถือ SAMSUNG S22 Ultra***

Friday, October 6, 2023

A Morning Walk in Autumn - ยามเช้ากับการเดินทางในฤดูใบไม้ร่วง


"แสงอรุณอุ่นอ่อนสะท้อนใบ
ลมพัดไกวใบไม้โรยโปรยลงดิน
"


ยามเช้ากับการเดินทางในฤดูใบไม้ร่วง

แสงแรกของวันในฤดูใบไม้ร่วงส่องลอดผ่านกิ่งไม้ใหญ่ที่เอนตัวโอบอุ้มถนนแคบ ๆ ในเขต Steglitz ของกรุงเบอร์ลิน ช่วงเวลาประมาณ 6 โมงเช้าของวันที่ 6 ตุลาคม 2566 ทุกอย่างเงียบสงัดราวกับโลกทั้งใบยังไม่ตื่นจากการหลับใหล ยกเว้นชายผู้หนึ่งที่เดินทอดน่องไปตามถนนที่ถูกปูด้วยพรมใบไม้แห้งซึ่งร่วงหล่นมาจากต้นไม้สูงใหญ่ ฝีเท้าของเขาเบาเสียจนแทบไม่มีเสียง แต่เงาที่ทอดยาวไปเบื้องหน้า บอกเราได้ว่าเขามีจุดหมาย แม้ว่าเราจะไม่รู้ว่าเขากำลังเดินไปไหน

การมองภาพนี้คือการหยุดหายใจในเสี้ยววินาทีหนึ่ง ราวกับเราหลุดเข้าไปในห้วงแห่งความเงียบงันที่อบอวลด้วยความอบอุ่นของแสงแดดอ่อน ๆ การถ่ายภาพด้วยกล้องมือถือ Samsung S22 อาจดูเรียบง่าย แต่กลับเผยให้เห็นรายละเอียดที่ลึกซึ้งของธรรมชาติและความเป็นเมืองในฤดูใบไม้ร่วง เงาของชายที่เดินผ่านตัดกับถนนที่ประดับด้วยใบไม้ร่วง สร้างความรู้สึกของการเดินทางในโลกที่ถูกแบ่งครึ่งระหว่างความมืดของเงาและความสว่างของแสง มันเหมือนการเดินผ่านความฝันเข้าสู่ความจริง

ใบไม้แห้งที่กระจัดกระจายอยู่บนพื้น ดูเหมือนจะบอกเล่าเรื่องราวของการเปลี่ยนแปลง ฤดูร้อนที่ผ่านพ้นไป และการมาถึงของความเย็นสบายแห่งฤดูใบไม้ร่วง ในทุก ๆ ปี ใบไม้เหล่านี้ร่วงหล่นเพื่อหลีกทางให้ฤดูกาลใหม่ ขณะเดียวกันก็กลายเป็นส่วนหนึ่งของวัฏจักรธรรมชาติที่ไม่เคยหยุดหมุนวน

Steglitz ในยามเช้าช่างเงียบสงบ ถนนที่มีต้นไม้ใหญ่เรียงรายสองข้างทางทำให้ภาพนี้ดูเหมือนอุโมงค์ธรรมชาติ ชวนให้เราคิดถึงความเป็นระเบียบเรียบง่ายของเมืองใหญ่ในเยอรมนี ทุกอย่างถูกออกแบบไว้อย่างลงตัว แม้แต่สิ่งที่ธรรมชาติมอบให้

ภาพนี้ไม่ใช่แค่ภาพของชายคนหนึ่งที่เดินผ่านถนนในฤดูใบไม้ร่วง แต่มันเหมือนการสะท้อนชีวิต เราต่างมีเส้นทางของตัวเอง มีจุดหมายที่บางครั้งอาจชัดเจน บางครั้งอาจเลือนราง เหมือนกับเงาที่ทอดยาวไปข้างหน้าในแสงยามเช้า เส้นทางนี้อาจไม่สมบูรณ์แบบ มีใบไม้แห้งที่ต้องเดินผ่าน มีแสงที่ส่องมาจากมุมที่คาดไม่ถึง แต่มันเป็นเส้นทางที่เราต้องก้าวไป

ฤดูใบไม้ร่วงในเบอร์ลิน ไม่ได้เป็นเพียงการเปลี่ยนแปลงของธรรมชาติ แต่ยังสะท้อนถึงจังหวะชีวิตของผู้คนที่ต้องปรับตัวให้เข้ากับสิ่งที่เปลี่ยนไป ภาพนี้บอกเราว่า การเดินทางในชีวิตอาจไม่ได้เรียบง่ายหรือโรยด้วยกลีบกุหลาบ แต่ถ้าเรามองให้ดี ทุกเส้นทางล้วนมีความงามในตัวของมันเอง

และเมื่อเราหยุดยืนมองภาพนี้อีกครั้ง เราอาจได้ยินเสียงใบไม้แห้งที่แผ่วเบา ได้สัมผัสลมเย็น ๆ ที่พัดผ่านหน้า และเห็นแสงแดดที่อบอุ่นเกาะอยู่บนผิวกาย ทั้งหมดนี้คือชีวิตที่กำลังดำเนินไป ไม่ว่าชายคนนั้นจะเดินไปทางไหน เราทุกคนก็เดินไปตามเส้นทางของเราเช่นกัน บางครั้ง ชีวิตไม่ได้ต้องการคำตอบว่าปลายทางอยู่ที่ไหน แต่ต้องการเพียงแค่ความกล้าที่จะก้าวเดินไปอย่างมั่นคง แม้จะมีใบไม้แห้งหรือเงามืดขวางหน้าเราอยู่ก็ตาม

A Morning Walk in Autumn

The first light of day pierces through the tall trees lining the narrow street of Steglitz, Berlin, on October 6, 2023, at around 6:26 AM. The tranquility of the moment feels almost surreal, as though the world itself has paused to embrace the quiet beauty of an autumn morning. A lone man walks down the path, his shadow stretching ahead on a street carpeted with fallen leaves, marking the turn of seasons.

This image evokes a sense of reflection and quiet determination. The leaves scattered across the path symbolize change, the end of summer, and the arrival of the cool, crisp air of autumn. The balance between shadow and light mirrors the journey of life—a path filled with contrasts, yet undeniably beautiful in its imperfection. Steglitz, with its serene streets and towering trees, encapsulates the harmony of nature and urban living.

Ein Morgenspaziergang im Herbst

Das erste Licht des Tages durchdringt die hohen Bäume, die die schmale Straße in Steglitz, Berlin, am 6. Oktober 2023 um etwa 6:26 Uhr säumen. Die Ruhe des Moments wirkt fast unwirklich, als hätte die Welt selbst innegehalten, um die stille Schönheit eines Herbstmorgens zu genießen. Ein einsamer Mann geht den Weg entlang, sein Schatten erstreckt sich über eine Straße, die von gefallenen Blättern bedeckt ist und den Wechsel der Jahreszeiten markiert.

Dieses Bild weckt ein Gefühl der Reflexion und stillen Entschlossenheit. Die verstreuten Blätter auf dem Weg symbolisieren den Wandel, das Ende des Sommers und die Ankunft der kühlen, klaren Herbstluft. Das Gleichgewicht zwischen Schatten und Licht spiegelt den Lebensweg wider—einen Weg voller Kontraste, doch unbestreitbar schön in seiner Unvollkommenheit. Steglitz mit seinen ruhigen Straßen und hohen Bäumen verkörpert die Harmonie von Natur und urbanem Leben.

秋の朝の散歩

朝の最初の光がベルリンのシュテーグリッツにある狭い道を照らしています。2023年10月6日、午前6時26分ごろ、秋の朝の静けさが感じられ、世界全体がその美しさを抱きしめるために立ち止まったかのようです。一人の男性が道を歩いており、その影は季節の移り変わりを象徴する落ち葉で覆われた道に長く伸びています。

このイメージは、静かな決意と内省の感覚を呼び起こします。散らばった葉は変化を象徴し、夏の終わりと秋の涼しい空気の到来を告げています。影と光のバランスは、人生の旅路を反映しており、コントラストに満ちていますが、その不完全さの中に否定できない美しさがあります。シュテーグリッツの静かな通りとそびえ立つ木々は、自然と都市生活の調和を具現化しています。

ການຍ່າງຍາມເຊົ້າໃນລະດູໃບໄມ້ລົ່ນ

ແສງແຕ່ງຄົ້ນຕອນເຊົ້າໄດ້ສອດຜ່ານຕົ້ນໄມ້ສູງທີ່ຂຽງຂ້າງທາງໃນ Steglitz, Berlin, ປະເທດເຢຍລະມັນ, ວັນທີ 6 ຕຸລາ 2566, ປະມານ 6:26 ນາທີ. ຄວາມສະງົບຂອງຂອບເຂດນັ້ນຄືກັບໂລກໄດ້ຢຸດພັກຢູ່ເພື່ອຊື່ນຊົມຄວາມງາມຂອງຕອນເຊົ້າຂອງລະດູໃບໄມ້ລົ່ນ. ຊາຍຄົນໜຶ່ງຍ່າງຂ້າມທາງທີ່ຖືກປູດ້ວຍໃບໄມ້ທີ່ລົ່ນ ຊົ່ວຂະນະທີ່ເຄື່ອນໄຫວຂອງລະດູກໍໄດ້ປະຈຸກຂອງເວລາ.

ຮູບນີ້ສະແດງຄວາມງາມຂອງການປ່ຽນແປງໃນທ້າຍລະດູ ເປັນຄວາມສົມດຸນລະຫວ່າງເງົາແລະແສງ ບໍ່ວ່າທາງຂ້າງໜ້າຈະປະສົມໄປດ້ວຍສິ່ງໃດ ມັນກໍຍັງຄົງຄວາມງາມຂອງມັນໄດ້.


ณัฐพล จารัตน์

กรุงเบอร์ลิน

Saturday, August 5, 2023

Eldorado : ไนต์คลับ Eldorado ตั้งอยู่ในย่านเชินเนอแบร์ก เป็นสถานที่ที่ชุมชนเกย์ เลสเบี้ยน และคนข้ามเพศสมัยนาซี

"Eldorado: Everything the Nazis Hate" เป็นภาพยนตร์สารคดีที่กำกับโดย Benjamin Cantu ซึ่งนำเสนอเรื่องราวของชุมชน LGBTQ+ ในกรุงเบอร์ลินช่วงทศวรรษ 1920 โดยมีไนต์คลับ "Eldorado" เป็นศูนย์กลาง ภาพยนตร์นี้สำรวจความรุ่งเรืองและความเสื่อมถอยของเสรีภาพทางเพศในยุคนั้น รวมถึงผลกระทบจากการขึ้นสู่อำนาจของพรรคนาซี


ไนต์คลับ Eldorado ตั้งอยู่ในย่านเชินเนอแบร์ก เป็นสถานที่ที่ชุมชนเกย์ เลสเบี้ยน และคนข้ามเพศมารวมตัวกัน เพื่อแสดงออกถึงตัวตนและเสรีภาพทางเพศ ที่นี่ดึงดูดผู้คนจากทั่วโลก สร้างบรรยากาศของความหลากหลายและความเปิดกว้าง อย่างไรก็ตาม เมื่อพรรคนาซีขึ้นสู่อำนาจ สถานที่เหล่านี้ถูกปิดตัวลง และชุมชน LGBTQ+ ต้องเผชิญกับการกดขี่และการประหัตประหาร

สารคดีนี้ใช้ฟุตเทจเก่าและการสัมภาษณ์ผู้ที่มีประสบการณ์ตรง เพื่อถ่ายทอดเรื่องราวของบุคคลสำคัญในยุคนั้น เช่น Magnus Hirschfeld นักเพศวิทยาที่เป็นผู้บุกเบิกการดูแลสุขภาพสำหรับคนข้ามเพศ และ Ernst Röhm สมาชิกพรรคนาซีที่เป็นเกย์ ซึ่งถูกสังหารโดยระบอบที่เขาช่วยสร้างขึ้น ภาพยนตร์นี้ยังสำรวจบทบาทของกฎหมาย Paragraph 175 ซึ่งใช้ในการกดขี่ชุมชนเกย์ในเยอรมนี ทั้งในช่วงก่อนและหลังสงครามโลกครั้งที่สอง

"Eldorado: Everything the Nazis Hate" ไม่เพียงนำเสนอประวัติศาสตร์ของชุมชน LGBTQ+ ในเบอร์ลิน แต่ยังเป็นการเตือนใจถึงความเปราะบางของเสรีภาพและความสำคัญของการต่อสู้เพื่อสิทธิมนุษยชน ภาพยนตร์นี้ได้รับการยกย่องจากนักวิจารณ์ว่าเป็นการนำเสนอประวัติศาสตร์ที่เข้าถึงได้และมีพลัง ซึ่งช่วยให้เราเข้าใจถึงความสำคัญของการไม่ให้ประวัติศาสตร์ซ้ำรอย

สำหรับผู้ที่สนใจเรื่องราวของชุมชน LGBTQ+ ในยุโรปช่วงก่อนสงครามโลกครั้งที่สอง "Eldorado: Everything the Nazis Hate" เป็นภาพยนตร์ที่ไม่ควรพลาด เนื่องจากให้ภาพรวมที่ชัดเจนและลึกซึ้งเกี่ยวกับความรุ่งเรืองและความท้าทายที่ชุมชนนี้ต้องเผชิญ และเป็นการย้ำเตือนถึงความสำคัญของการรักษาและปกป้องเสรีภาพและสิทธิมนุษยชนในสังคมปัจจุบัน

----------

วันที่ 2 ธันวาคม 2567

วันนี้ผมย้อนกลับไปชมสารคดี "Eldorado: Everything the Nazis Hate" อีกครั้ง ภาพยนตร์ที่ทำให้เห็นภาพความรุ่งเรืองของชุมชน LGBTQ+ ในกรุงเบอร์ลินช่วงปี 1920 ก่อนที่ทุกสิ่งจะถูกกลืนหายไปในยุคมืดแห่งการปกครองของพรรคนาซี Eldorado ไม่ใช่เพียงไนต์คลับ แต่เป็นพื้นที่ปลอดภัย ที่ผู้คนหลากหลายเพศสภาพสามารถแสดงตัวตนอย่างเสรี ท่ามกลางความหลากหลายและสีสันของเมืองที่เปล่งประกายที่สุดในยุโรปตอนนั้น

เมื่อคิดถึงประเด็นนี้ในบริบทปัจจุบัน ผมเริ่มวิเคราะห์ตามเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs) ขององค์การสหประชาชาติปี 2023 ซึ่ง Eldorado และเรื่องราวของมันเชื่อมโยงได้อย่างลึกซึ้งกับเป้าหมายหลายข้อ

SDG 5: ความเท่าเทียมทางเพศ (Gender Equality)
Eldorado สะท้อนให้เห็นถึงความพยายามในการสร้างพื้นที่ที่ทุกเพศสภาพได้รับการยอมรับ แม้ในยุคที่สังคมเต็มไปด้วยอคติและการกดขี่ ชุมชน LGBTQ+ ในเวลานั้นเป็นตัวอย่างของการต่อสู้เพื่อความเท่าเทียม ซึ่งเป็นหัวใจของ SDG 5 การสร้างพื้นที่ที่ทุกคนสามารถมีสิทธิเสรีภาพในการแสดงออก และการลดการเลือกปฏิบัติ ถือเป็นแนวคิดที่ยังคงมีความสำคัญในโลกปัจจุบัน

SDG 10: การลดความเหลื่อมล้ำ (Reduced Inequalities)
เรื่องราวของ Eldorado เป็นตัวแทนของความพยายามลดความเหลื่อมล้ำในสังคมยุคนั้น แม้ว่ามันจะถูกทำลายลงในภายหลัง การยกย่องความหลากหลายทางเพศและความพยายามสร้างสังคมที่คนทุกกลุ่มมีโอกาสเท่าเทียม คือแนวทางที่ SDG 10 มุ่งเน้น

SDG 16: สันติภาพ ความยุติธรรม และสถาบันที่เข้มแข็ง (Peace, Justice, and Strong Institutions)
การล่มสลายของ Eldorado ภายใต้ระบอบเผด็จการนาซีเป็นบทเรียนสำคัญของการขาดสถาบันที่ปกป้องสิทธิมนุษยชน SDG 16 จึงเรียกร้องให้เราสร้างกลไกที่ช่วยปกป้องสิทธิและเสรีภาพ เพื่อไม่ให้ประวัติศาสตร์ซ้ำรอย Eldorado เตือนให้เราระลึกถึงความเปราะบางของเสรีภาพและหน้าที่ของเราที่จะรักษามันไว้

SDG 11: เมืองและชุมชนที่ยั่งยืน (Sustainable Cities and Communities)
เบอร์ลินในยุค 1920 เป็นตัวอย่างของเมืองที่เปล่งประกายด้วยวัฒนธรรม ความหลากหลาย และความสร้างสรรค์ Eldorado ช่วยสร้างพลวัตทางสังคมที่หล่อหลอมเมืองนี้ SDG 11 เน้นให้เราออกแบบเมืองและชุมชนที่เปิดกว้าง ยั่งยืน และไม่ทอดทิ้งใครไว้ข้างหลัง

เมื่อคิดถึง Eldorado และบริบทของ SDGs มันทำให้ผมตระหนักว่า เรื่องราวในอดีตสามารถให้แรงบันดาลใจในการสร้างอนาคตได้ หากเราเรียนรู้และลงมือทำเพื่อสร้างสังคมที่ทุกคนได้รับการยอมรับ เคารพ และปกป้อง ผมหวังว่า Eldorado จะเป็นบทเรียนและแสงสว่างที่ช่วยชี้นำเราในเส้นทางนี้


ณัฐพล จารัตน์

กรุงเบอร์ลิน








Thursday, July 27, 2023

รู้ไหม!!! กินลาบเป็ดในเบอร์ลินก็ได้

ลาบเป็น #อาหารอิสาน จากอาหารไทยในเบอร์ลิน อร่อยเหมือนกินที่ #มุกดาหาร มั้ยน้อ ที่เห็นพลาสติดเพราะถูกแช่เย็นไว้ ต้องอุ่นค่อนกินครับ This is Lab Ped #DuckSalad in #Berlin Thai restaurant. As good as eating in #Mukdahan or not?