Monday, December 9, 2024
ซานต้าคลอสคัมมิ่งทูเบอร์ลิน
Sunday, March 3, 2024
อนุรักษ์สถานที่ที่มีความสำคัญในกรุงเบอร์ลิน เช่น บ้าน Das Haus Niedstraße 30, 1882 von J. Mehme
บ้านด้านหลังของผมนี้ เรียกว่า
Das Haus Niedstraße 30, 1882 von J. Mehme หรือบ้านเลขที่ 30 ถนนนีดสตราสเซอร์ ของ ยอร์ท เมห์เมอ สร้างเมื่อปี ค.ศ. 1882
Wednesday, February 28, 2024
ถึงเบอร์ลินทั้งทีต้องมีภาพคู่กับ "หมีเบอร์ลิน" (BERLIN BEAR)
เบอร์ลิน เรียกได้ว่าเป็น นครแห่งหมี (Berlin, the City of Bear) เมื่อมาถึงเบอร์ลินใหม่ ๆ ไปเดินเล่นที่ไหนจะพบเห็นตุ๊กตาหมีตัวใหญ่เท่าคน ทำท่าทางยืนด้วยสองขาหลัง ส่วนขาหน้าทั้งสองยกชี้ฟ้าประดุจการชูแขนของมนุษย์ ยิ่งไปกว่านั้น แม้กระทั้งภายในบริเวณสถานเอกอัครราชทูตไทย ณ กรุงเบอร์ลิน ยังมีตุ๊กตาพี่หมียืนเด่นเป็นสง่า แขนทั้งสองไม่ได้ยก แต่เปลี่ยนอิริยาบทในท่ายกมือไหว้แบบคนไทย (ดูภาพจากลิ้งก์ https://www.buddy-baer.com/en/ และ https://www.facebook.com/RTEBerlin/photos/a.435706946557416/1337053849756050/?type=3 )
มีหลายเรื่องเล่ากล่าวถึงที่มาของชื่อเมืองเบอร์ลิน (Berlin) ผมขอยกมาเล่าให้ฟัง 3 เรื่อง ซึ่งจริงแท้เพียงไรไม่การันตีครับ
เรื่องแรก เขาเล่าว่า เจ้าเมืองคนแรกผู้ก่อตั้งเมืองเบอร์ลินชื่อ Albrecht der Bär หรือ Albrecht I., Margrave of Brandenburg (แปลว่า "เจ้าชายอัลเบรชต์ผู้มีหนวดเคราเหมือนหมี") เนื่องได้ต่อสู้กับหมีตัวใหญ่ในป่า มีชัยชนะเหนือหมี จึงนำรูปหมีมาเป็นสัญลักษณ์ของความกล้าหาญและพลัง และนำคำว่า Bär เป็นนามสกุลของตน ซึ่งคำว่า Bär เป็นภาษาเยอรมันแปลว่า หมี หรือ Bear (ข้อมูลประกอบ https://en.wikipedia.org/wiki/Albert_the_Bear)
เรื่องที่สอง เขาเล่าว่า สมัยโบราณเจ้าผู้ครองนครรัฐต่าง ๆ มักจะนำรูปสัตว์เป็นประจำตระกูล เพื่อแสดงถึงอัตลักษณ์ของตนเอง ในบริเวณเบอร์ลินปกครองด้วยตระกูลอาคาเนียน (Ascanian) ปกครองเบอร์ลินในศตวรรษที่ 13 ใช้รูปหมีเป็นตราประจำตระกูล ซึ่งบริเวณนี้เคยหมีสีน้ำตาลอาศัยอยู่ในป่ารอบเมืองเบอร์ลิน (ข้อมูลประกอบ https://wappenwiki.org/index.php/House_of_Ascania)
เรื่องที่สาม เขาเล่าในเชิงภาษาศาสตร์โดยสันนิษฐานว่า Berlin มารากมาจากคำว่า Bär ในภาษาเยอรมัน แปลว่า หมี อาจด้วยความบังเอิญหรือใช้หลักการลากเข้าความหรือเป็นการเล่าเรื่องก็ไม่ทราบแน่ชัด อย่างไรก็ตามครับ นักภาษาศาสตร์มีข้อสันนิษฐานที่ชัดเจนว่า Berlin เป็นคำในภาษาสลาวิคเก่า (Old Slavic language) ซึ่งเป็นภาษาที่ใช้ในแถบโปแลนด์ ยูเครน รัสเซีย เยอรมนี ฮังการี ปัจจุบันไม่มีภาษานี้แล้ว โดยเพี้ยนมาจากคำว่า berl หรือ birl มีความหมายว่า หนองน้ำ ที่ลุ่มน้ำขัง ใช้เรียกบริเวณเมืองเบอร์ลิน ซึ่งเป็นเมืองที่ตั้งอยู่ริมแม่น้ำชแปร (Spree) สมัยโบราณมีน้ำท่วมขังเป็นบริเวณกว้าง (ข้อมูลประกอบ https://berlinhistoricalwalks.com/theorigins-of-berlins-name)
ไม่ว่าพี่หมีจะเกี่ยวข้องหรือไม่เกี่ยวข้องกับที่มาของชื่อเมืองเบอร์ลิน ปัจจุบัน สัญลักษณ์หมีปรากฏในตราสัญลักษณ์และธงประจำเมืองเบอร์ลินมาหลายศตวรรษ ธงปัจจุบันของเมืองเบอร์ลินได้รับการออกแบบในปี 1936 ธงมีพื้นสีขาว มีรูปหมีสีดำยืนอยู่บนขาหลัง หมีมีกรงเล็บสีแดง ลิ้นสีแดงและโล่สีแดงที่มีอักษรสีขาว "Berlin" (ข้อมูลประกอบ https://en.wikipedia.org/wiki/Flag_of_Berlin)
พลังของหมีเบอร์ลินเป็นตัวแทนหรือมาสคอทของมหานครแห่งนี้ ที่แขกไปใครมาต้องมีภาพคู่กับพี่หมีเบอร์ลิน
Tuesday, February 27, 2024
เดินถ่ายภาพที่ "ประตูบรันเดนบูร์ก" สัญลักษณ์แห่งชัยชนะและความเจริญรุ่งเรืองของเยอรมนี
เขียนโดย
ณัฐพล จารัตน์
กรุงเบอร์ลิน
27.02.2567
@NattJarat
Sunday, February 4, 2024
เดินไปชมภาพกราฟฟิตี้ที่ดังมากในเบอร์ลินภาพหนึ่ง เป็นภาพเพื่อรำลึกถึง "คาร์โล จูเลียนี" (Carlo Giuliani)
03.02.2567 เดินไปชมภาพกราฟฟิตี้ที่ดังมากในเบอร์ลินภาพหนึ่ง เป็นภาพเพื่อรำลึกถึง "คาร์โล จูเลียนี" (Carlo Giuliani) วาดไว้ตรงฝนังกำแพงด้านนอกของอาคาร NY Deutsch Schule ใกล้กับ Marielle-Franco-Platz เขตคร็อยทซ์แบร์ค (Kreuzberg) ของกรุงเบอร์ลิน เขตนี้ถือเป็นต้นกำเนิดของกราฟฟิตี้ที่ใช้ต่อต้านรัฐในยุค 1980 แถวเป็นสวรรค์ของคนรักกราฟฟิตี้ทั่วโลกจะมาชมกัน สายศิลปินแนวต้านรัฐบอกว่าถ้ามาเบอร์ลินแล้วไม่ได้พ่นกราฟฟิตี้ไม่ได้ถ่ายภาพกับกราฟฟิตี้เหมือนมาไม่ถึงเบอร์ลิน..ว่าซ่านน
"คาร์โล จูเลียนี" (Carlo Giuliani) เป็นผู้ประท้วงต่อต้าน globalisation ชาวอิตาลี ถูกยิงเสียชีวิตระหว่างการจลาจลต่อต้านโลกาภิวัตน์นอกการประชุมสุดยอด G8 เมื่อ 20 กรกฎาคม 2001 (2544) ที่เมืองเจนัว ประเทศอิตาลี การเสียชีวิตของคุณคาร์โล สร้างแรงเคลื่อนไหวและเป็นฉนวนในการต่อต้าน globalisation ของผู้รณรงค์ต่อต้านทั่วโลก
กราฟฟิตี้ “กราฟฟิตี้เป็นวัฒนธรรมนอกกระแสที่เปรียบเหมือนสัญลักษณ์ของความเป็นขบถ ราวกับว่ามันก่อให้เกิดความรู้สึกซาบซ่าน เป็นสุข เวลาที่ศิลปินกราฟฟิตี้ได้ท้าทายต่ออำนาจของเจ้าหน้าที่รัฐที่พยายามกีดกันและกำจัดกราฟฟิตี้ให้หมดไป” (https://shortrecap.co/culture/กราฟฟิตี้-graffiti/)
ดร.ณัฐพล จารัตน์
กรุงเบอร์ลิน
03.02.2567
Tuesday, November 28, 2023
เช้าวันแห่งหิมะในกรุงเบอร์ลิน 28 พฤศจิกายน 2566
Friday, October 6, 2023
A Morning Walk in Autumn - ยามเช้ากับการเดินทางในฤดูใบไม้ร่วง
"แสงอรุณอุ่นอ่อนสะท้อนใบ
ลมพัดไกวใบไม้โรยโปรยลงดิน"
ยามเช้ากับการเดินทางในฤดูใบไม้ร่วง
แสงแรกของวันในฤดูใบไม้ร่วงส่องลอดผ่านกิ่งไม้ใหญ่ที่เอนตัวโอบอุ้มถนนแคบ ๆ ในเขต Steglitz ของกรุงเบอร์ลิน ช่วงเวลาประมาณ 6 โมงเช้าของวันที่ 6 ตุลาคม 2566 ทุกอย่างเงียบสงัดราวกับโลกทั้งใบยังไม่ตื่นจากการหลับใหล ยกเว้นชายผู้หนึ่งที่เดินทอดน่องไปตามถนนที่ถูกปูด้วยพรมใบไม้แห้งซึ่งร่วงหล่นมาจากต้นไม้สูงใหญ่ ฝีเท้าของเขาเบาเสียจนแทบไม่มีเสียง แต่เงาที่ทอดยาวไปเบื้องหน้า บอกเราได้ว่าเขามีจุดหมาย แม้ว่าเราจะไม่รู้ว่าเขากำลังเดินไปไหน
การมองภาพนี้คือการหยุดหายใจในเสี้ยววินาทีหนึ่ง ราวกับเราหลุดเข้าไปในห้วงแห่งความเงียบงันที่อบอวลด้วยความอบอุ่นของแสงแดดอ่อน ๆ การถ่ายภาพด้วยกล้องมือถือ Samsung S22 อาจดูเรียบง่าย แต่กลับเผยให้เห็นรายละเอียดที่ลึกซึ้งของธรรมชาติและความเป็นเมืองในฤดูใบไม้ร่วง เงาของชายที่เดินผ่านตัดกับถนนที่ประดับด้วยใบไม้ร่วง สร้างความรู้สึกของการเดินทางในโลกที่ถูกแบ่งครึ่งระหว่างความมืดของเงาและความสว่างของแสง มันเหมือนการเดินผ่านความฝันเข้าสู่ความจริง
ใบไม้แห้งที่กระจัดกระจายอยู่บนพื้น ดูเหมือนจะบอกเล่าเรื่องราวของการเปลี่ยนแปลง ฤดูร้อนที่ผ่านพ้นไป และการมาถึงของความเย็นสบายแห่งฤดูใบไม้ร่วง ในทุก ๆ ปี ใบไม้เหล่านี้ร่วงหล่นเพื่อหลีกทางให้ฤดูกาลใหม่ ขณะเดียวกันก็กลายเป็นส่วนหนึ่งของวัฏจักรธรรมชาติที่ไม่เคยหยุดหมุนวน
Steglitz ในยามเช้าช่างเงียบสงบ ถนนที่มีต้นไม้ใหญ่เรียงรายสองข้างทางทำให้ภาพนี้ดูเหมือนอุโมงค์ธรรมชาติ ชวนให้เราคิดถึงความเป็นระเบียบเรียบง่ายของเมืองใหญ่ในเยอรมนี ทุกอย่างถูกออกแบบไว้อย่างลงตัว แม้แต่สิ่งที่ธรรมชาติมอบให้
ภาพนี้ไม่ใช่แค่ภาพของชายคนหนึ่งที่เดินผ่านถนนในฤดูใบไม้ร่วง แต่มันเหมือนการสะท้อนชีวิต เราต่างมีเส้นทางของตัวเอง มีจุดหมายที่บางครั้งอาจชัดเจน บางครั้งอาจเลือนราง เหมือนกับเงาที่ทอดยาวไปข้างหน้าในแสงยามเช้า เส้นทางนี้อาจไม่สมบูรณ์แบบ มีใบไม้แห้งที่ต้องเดินผ่าน มีแสงที่ส่องมาจากมุมที่คาดไม่ถึง แต่มันเป็นเส้นทางที่เราต้องก้าวไป
ฤดูใบไม้ร่วงในเบอร์ลิน ไม่ได้เป็นเพียงการเปลี่ยนแปลงของธรรมชาติ แต่ยังสะท้อนถึงจังหวะชีวิตของผู้คนที่ต้องปรับตัวให้เข้ากับสิ่งที่เปลี่ยนไป ภาพนี้บอกเราว่า การเดินทางในชีวิตอาจไม่ได้เรียบง่ายหรือโรยด้วยกลีบกุหลาบ แต่ถ้าเรามองให้ดี ทุกเส้นทางล้วนมีความงามในตัวของมันเอง
และเมื่อเราหยุดยืนมองภาพนี้อีกครั้ง เราอาจได้ยินเสียงใบไม้แห้งที่แผ่วเบา ได้สัมผัสลมเย็น ๆ ที่พัดผ่านหน้า และเห็นแสงแดดที่อบอุ่นเกาะอยู่บนผิวกาย ทั้งหมดนี้คือชีวิตที่กำลังดำเนินไป ไม่ว่าชายคนนั้นจะเดินไปทางไหน เราทุกคนก็เดินไปตามเส้นทางของเราเช่นกัน บางครั้ง ชีวิตไม่ได้ต้องการคำตอบว่าปลายทางอยู่ที่ไหน แต่ต้องการเพียงแค่ความกล้าที่จะก้าวเดินไปอย่างมั่นคง แม้จะมีใบไม้แห้งหรือเงามืดขวางหน้าเราอยู่ก็ตาม
A Morning Walk in Autumn
The first light of day pierces through the tall trees lining the narrow street of Steglitz, Berlin, on October 6, 2023, at around 6:26 AM. The tranquility of the moment feels almost surreal, as though the world itself has paused to embrace the quiet beauty of an autumn morning. A lone man walks down the path, his shadow stretching ahead on a street carpeted with fallen leaves, marking the turn of seasons.
This image evokes a sense of reflection and quiet determination. The leaves scattered across the path symbolize change, the end of summer, and the arrival of the cool, crisp air of autumn. The balance between shadow and light mirrors the journey of life—a path filled with contrasts, yet undeniably beautiful in its imperfection. Steglitz, with its serene streets and towering trees, encapsulates the harmony of nature and urban living.
Ein Morgenspaziergang im Herbst
Das erste Licht des Tages durchdringt die hohen Bäume, die die schmale Straße in Steglitz, Berlin, am 6. Oktober 2023 um etwa 6:26 Uhr säumen. Die Ruhe des Moments wirkt fast unwirklich, als hätte die Welt selbst innegehalten, um die stille Schönheit eines Herbstmorgens zu genießen. Ein einsamer Mann geht den Weg entlang, sein Schatten erstreckt sich über eine Straße, die von gefallenen Blättern bedeckt ist und den Wechsel der Jahreszeiten markiert.
Dieses Bild weckt ein Gefühl der Reflexion und stillen Entschlossenheit. Die verstreuten Blätter auf dem Weg symbolisieren den Wandel, das Ende des Sommers und die Ankunft der kühlen, klaren Herbstluft. Das Gleichgewicht zwischen Schatten und Licht spiegelt den Lebensweg wider—einen Weg voller Kontraste, doch unbestreitbar schön in seiner Unvollkommenheit. Steglitz mit seinen ruhigen Straßen und hohen Bäumen verkörpert die Harmonie von Natur und urbanem Leben.
秋の朝の散歩
朝の最初の光がベルリンのシュテーグリッツにある狭い道を照らしています。2023年10月6日、午前6時26分ごろ、秋の朝の静けさが感じられ、世界全体がその美しさを抱きしめるために立ち止まったかのようです。一人の男性が道を歩いており、その影は季節の移り変わりを象徴する落ち葉で覆われた道に長く伸びています。
このイメージは、静かな決意と内省の感覚を呼び起こします。散らばった葉は変化を象徴し、夏の終わりと秋の涼しい空気の到来を告げています。影と光のバランスは、人生の旅路を反映しており、コントラストに満ちていますが、その不完全さの中に否定できない美しさがあります。シュテーグリッツの静かな通りとそびえ立つ木々は、自然と都市生活の調和を具現化しています。
ການຍ່າງຍາມເຊົ້າໃນລະດູໃບໄມ້ລົ່ນ
ແສງແຕ່ງຄົ້ນຕອນເຊົ້າໄດ້ສອດຜ່ານຕົ້ນໄມ້ສູງທີ່ຂຽງຂ້າງທາງໃນ Steglitz, Berlin, ປະເທດເຢຍລະມັນ, ວັນທີ 6 ຕຸລາ 2566, ປະມານ 6:26 ນາທີ. ຄວາມສະງົບຂອງຂອບເຂດນັ້ນຄືກັບໂລກໄດ້ຢຸດພັກຢູ່ເພື່ອຊື່ນຊົມຄວາມງາມຂອງຕອນເຊົ້າຂອງລະດູໃບໄມ້ລົ່ນ. ຊາຍຄົນໜຶ່ງຍ່າງຂ້າມທາງທີ່ຖືກປູດ້ວຍໃບໄມ້ທີ່ລົ່ນ ຊົ່ວຂະນະທີ່ເຄື່ອນໄຫວຂອງລະດູກໍໄດ້ປະຈຸກຂອງເວລາ.
ຮູບນີ້ສະແດງຄວາມງາມຂອງການປ່ຽນແປງໃນທ້າຍລະດູ ເປັນຄວາມສົມດຸນລະຫວ່າງເງົາແລະແສງ ບໍ່ວ່າທາງຂ້າງໜ້າຈະປະສົມໄປດ້ວຍສິ່ງໃດ ມັນກໍຍັງຄົງຄວາມງາມຂອງມັນໄດ້.
ณัฐพล จารัตน์
กรุงเบอร์ลิน
Saturday, August 5, 2023
Eldorado : ไนต์คลับ Eldorado ตั้งอยู่ในย่านเชินเนอแบร์ก เป็นสถานที่ที่ชุมชนเกย์ เลสเบี้ยน และคนข้ามเพศสมัยนาซี
"Eldorado: Everything the Nazis Hate" เป็นภาพยนตร์สารคดีที่กำกับโดย Benjamin Cantu ซึ่งนำเสนอเรื่องราวของชุมชน LGBTQ+ ในกรุงเบอร์ลินช่วงทศวรรษ 1920 โดยมีไนต์คลับ "Eldorado" เป็นศูนย์กลาง ภาพยนตร์นี้สำรวจความรุ่งเรืองและความเสื่อมถอยของเสรีภาพทางเพศในยุคนั้น รวมถึงผลกระทบจากการขึ้นสู่อำนาจของพรรคนาซี
ไนต์คลับ Eldorado ตั้งอยู่ในย่านเชินเนอแบร์ก เป็นสถานที่ที่ชุมชนเกย์ เลสเบี้ยน และคนข้ามเพศมารวมตัวกัน เพื่อแสดงออกถึงตัวตนและเสรีภาพทางเพศ ที่นี่ดึงดูดผู้คนจากทั่วโลก สร้างบรรยากาศของความหลากหลายและความเปิดกว้าง อย่างไรก็ตาม เมื่อพรรคนาซีขึ้นสู่อำนาจ สถานที่เหล่านี้ถูกปิดตัวลง และชุมชน LGBTQ+ ต้องเผชิญกับการกดขี่และการประหัตประหาร
สารคดีนี้ใช้ฟุตเทจเก่าและการสัมภาษณ์ผู้ที่มีประสบการณ์ตรง เพื่อถ่ายทอดเรื่องราวของบุคคลสำคัญในยุคนั้น เช่น Magnus Hirschfeld นักเพศวิทยาที่เป็นผู้บุกเบิกการดูแลสุขภาพสำหรับคนข้ามเพศ และ Ernst Röhm สมาชิกพรรคนาซีที่เป็นเกย์ ซึ่งถูกสังหารโดยระบอบที่เขาช่วยสร้างขึ้น ภาพยนตร์นี้ยังสำรวจบทบาทของกฎหมาย Paragraph 175 ซึ่งใช้ในการกดขี่ชุมชนเกย์ในเยอรมนี ทั้งในช่วงก่อนและหลังสงครามโลกครั้งที่สอง
"Eldorado: Everything the Nazis Hate" ไม่เพียงนำเสนอประวัติศาสตร์ของชุมชน LGBTQ+ ในเบอร์ลิน แต่ยังเป็นการเตือนใจถึงความเปราะบางของเสรีภาพและความสำคัญของการต่อสู้เพื่อสิทธิมนุษยชน ภาพยนตร์นี้ได้รับการยกย่องจากนักวิจารณ์ว่าเป็นการนำเสนอประวัติศาสตร์ที่เข้าถึงได้และมีพลัง ซึ่งช่วยให้เราเข้าใจถึงความสำคัญของการไม่ให้ประวัติศาสตร์ซ้ำรอย
สำหรับผู้ที่สนใจเรื่องราวของชุมชน LGBTQ+ ในยุโรปช่วงก่อนสงครามโลกครั้งที่สอง "Eldorado: Everything the Nazis Hate" เป็นภาพยนตร์ที่ไม่ควรพลาด เนื่องจากให้ภาพรวมที่ชัดเจนและลึกซึ้งเกี่ยวกับความรุ่งเรืองและความท้าทายที่ชุมชนนี้ต้องเผชิญ และเป็นการย้ำเตือนถึงความสำคัญของการรักษาและปกป้องเสรีภาพและสิทธิมนุษยชนในสังคมปัจจุบัน
----------
วันที่ 2 ธันวาคม 2567
วันนี้ผมย้อนกลับไปชมสารคดี "Eldorado: Everything the Nazis Hate" อีกครั้ง ภาพยนตร์ที่ทำให้เห็นภาพความรุ่งเรืองของชุมชน LGBTQ+ ในกรุงเบอร์ลินช่วงปี 1920 ก่อนที่ทุกสิ่งจะถูกกลืนหายไปในยุคมืดแห่งการปกครองของพรรคนาซี Eldorado ไม่ใช่เพียงไนต์คลับ แต่เป็นพื้นที่ปลอดภัย ที่ผู้คนหลากหลายเพศสภาพสามารถแสดงตัวตนอย่างเสรี ท่ามกลางความหลากหลายและสีสันของเมืองที่เปล่งประกายที่สุดในยุโรปตอนนั้น
เมื่อคิดถึงประเด็นนี้ในบริบทปัจจุบัน ผมเริ่มวิเคราะห์ตามเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs) ขององค์การสหประชาชาติปี 2023 ซึ่ง Eldorado และเรื่องราวของมันเชื่อมโยงได้อย่างลึกซึ้งกับเป้าหมายหลายข้อ
SDG 5: ความเท่าเทียมทางเพศ (Gender Equality)
Eldorado สะท้อนให้เห็นถึงความพยายามในการสร้างพื้นที่ที่ทุกเพศสภาพได้รับการยอมรับ แม้ในยุคที่สังคมเต็มไปด้วยอคติและการกดขี่ ชุมชน LGBTQ+ ในเวลานั้นเป็นตัวอย่างของการต่อสู้เพื่อความเท่าเทียม ซึ่งเป็นหัวใจของ SDG 5 การสร้างพื้นที่ที่ทุกคนสามารถมีสิทธิเสรีภาพในการแสดงออก และการลดการเลือกปฏิบัติ ถือเป็นแนวคิดที่ยังคงมีความสำคัญในโลกปัจจุบัน
SDG 10: การลดความเหลื่อมล้ำ (Reduced Inequalities)
เรื่องราวของ Eldorado เป็นตัวแทนของความพยายามลดความเหลื่อมล้ำในสังคมยุคนั้น แม้ว่ามันจะถูกทำลายลงในภายหลัง การยกย่องความหลากหลายทางเพศและความพยายามสร้างสังคมที่คนทุกกลุ่มมีโอกาสเท่าเทียม คือแนวทางที่ SDG 10 มุ่งเน้น
SDG 16: สันติภาพ ความยุติธรรม และสถาบันที่เข้มแข็ง (Peace, Justice, and Strong Institutions)
การล่มสลายของ Eldorado ภายใต้ระบอบเผด็จการนาซีเป็นบทเรียนสำคัญของการขาดสถาบันที่ปกป้องสิทธิมนุษยชน SDG 16 จึงเรียกร้องให้เราสร้างกลไกที่ช่วยปกป้องสิทธิและเสรีภาพ เพื่อไม่ให้ประวัติศาสตร์ซ้ำรอย Eldorado เตือนให้เราระลึกถึงความเปราะบางของเสรีภาพและหน้าที่ของเราที่จะรักษามันไว้
SDG 11: เมืองและชุมชนที่ยั่งยืน (Sustainable Cities and Communities)
เบอร์ลินในยุค 1920 เป็นตัวอย่างของเมืองที่เปล่งประกายด้วยวัฒนธรรม ความหลากหลาย และความสร้างสรรค์ Eldorado ช่วยสร้างพลวัตทางสังคมที่หล่อหลอมเมืองนี้ SDG 11 เน้นให้เราออกแบบเมืองและชุมชนที่เปิดกว้าง ยั่งยืน และไม่ทอดทิ้งใครไว้ข้างหลัง
เมื่อคิดถึง Eldorado และบริบทของ SDGs มันทำให้ผมตระหนักว่า เรื่องราวในอดีตสามารถให้แรงบันดาลใจในการสร้างอนาคตได้ หากเราเรียนรู้และลงมือทำเพื่อสร้างสังคมที่ทุกคนได้รับการยอมรับ เคารพ และปกป้อง ผมหวังว่า Eldorado จะเป็นบทเรียนและแสงสว่างที่ช่วยชี้นำเราในเส้นทางนี้
ณัฐพล จารัตน์
กรุงเบอร์ลิน